วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาเศียรวาท ฟาดกลอน


"อาเศียรวาท' ฟาดกลอน"
หาอยากดัง หากจักเล่นด้วย
อาเศียรวาท แปลว่า น. คําอวยพร (เป็นคำที่ผู้น้อยใช้กับผู้ใหญ่).
อาศิรพจน์, อาศิรพาท, อาศิรวจนะ, อาศิรวาท, อาเศียรพจน์, อาเศียรพาท, อาเศียรวจนะ
Posted Image
สืบเนื่องจากมีผู้ตั้งคำถามต่อบทอาเศียรวาท ที่ตีพิมพ์ในมติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมาว่ามีความหมายอย่างไร
มีความกำกวมไม่เหมาะสมหรือไม่ บทอาเศียรวาท มีเนื้อความดังนี้
วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง    ลมแล้งในใจไห้โหยหาย
ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย        ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา
วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน   ลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา
พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา     ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร
ต่อไปนี้ คือคำอธิบายจากผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทดังกล่าว
"....อาเศียรวาทสองบทนี้ มีความหมายตรงตามตัวอักษรทุกประการ
ด้วยวิธีการเขียนบทกวีที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ จึงใช้วันฟ้าสว่างกับวันฟ้ามืดครึ้ม

วันฟ้าสว่างนั้นแม้แต่ลมแล้งในใจผู้คนที่โหยไห้ก็ยังหาย ข้าวกล้านาไร่ยังได้กลิ่นอายฝนที่มุ่งหมายมาตกต้องตามฤดูกาลย่อมหมายถึงความ
สว่างในพระบรมเดชาเมตตาบารมี ที่ปกเกล้าพสกนิกรและทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากพระวิริยะอุตสาหะเช่นฟ้าฝน ชลประทาน หรืออ่างเก็บ
น้ำอันยังประโยชน์สม่ำเสมอแก่ไร่นา

ดังนั้น เมื่อมีวันมืดครึ้ม ซึ่งแม้แต่ธรรมชาติปัจจุบันเช่นที่เห็นกันก็ผันผวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเป็นปัญหา
จึงมีหรือที่จะไม่นึกฝันถึงวันฟ้าสว่าง วันที่กระจ่างแจ้งร่มเย็นอยู่ในพระบรมโพธิสมภาร ว่าดีอย่างไร ดีขนาดไหน คือความหมายซึ่งอธิบายได้
ตามตัวอักษรทุกวรรคตอน

อนึ่ง ที่ยังมีข้อสงสัยต่อความหมายในบาทสุดท้าย ที่ว่า"ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร" นั้น
หากติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ย่อมเห็นแล้วว่า ปัจจุบันมีปัญหามากมาย ที่ทำให้คนส่วนมากเดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่คนส่วนมาก
เรียกร้องความสงบสุขในสังคม เพื่อจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน

เช่นนี้แล้ว ทำไมจึงจะไม่คิดถึงล่ะว่าวันที่ฟ้าสว่างกระจ่างแจ้งนั้นดีอย่างไร
วันที่ธรรมชาติดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมตามฤดูกาล ไร่นาประชาชนสมบูรณ์ วันที่พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาล ปราศจากฝุ่นละอองใดๆ
มาแผ้วพาน"

กองบรรณาธิการหวังว่า คำอธิบายความหมาย สัญลักษณ์ และเจตนาของผู้ประพันธ์ น่าจะสร้างความกระจ่างและทำให้เกิดการตีความที่สอด
คล้องกับความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์

กองบรรณาธิการมติชน
6 ธันวาคม 2555







Posted Image
กรณีบทอาเศียรวาทของ นสพ มติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 บานปลายไปใหญ่โตแล้ว
เมื่อประชาชนคนอ่านได้แสดงความเห็นว่า กำกวม คลุมเคลือ ผ่านทางโลกโซเชียล มีเดีย
จน กองบรรณิการ นสพ. มติชน ต้องชี้แจงผ่านเว็บไซต์ในตอนสายของวันที่ 6 ธค 55 แม้จะ
อธิบายอย่างลงลึกถึงแต่ละวรรคตอนแล้วก็ตาม ทว่า ประชาชนก็ยังเห็นค้าน จนมีการเขียน
กลอนตอบโต้หลายบทจากหลายคน โดยล่าสุด นักแปลชื่อดังของเมืองไทย "นิดา"

ปราศรัย รัชไชยบุญ ได้เขียนกลอนสอนมวยอาเศียรวาทของมติชนอีกคนหนึ่ง โดยฝากนำ
เสนอผ่านบนหน้า Fb ของ นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ "หมอโอ๊ด" นักเขียนนวนิยายชื่อดังเจ้า
ของผลงาน สาปภูษา –รอยไหม –กี่เฟ้า และ ส่าหรี ดังนี้คือ


"อาเศียรวาท ชาติขี้ข้า ไม่รู้จัก
ยักเยื้องนัก นำมาใช้ ให้วิปริต
ซ้ำเฉไฉ ไขว้เขว เจ้าเล่ห์คิด
ให้หลงผิด โง่งั่ง ทั้งโคตรมัน
"ผรุสวาท" เท่านั้น มันเข้าใจ
พ่อแม่มัน เลือกใช้ สอนลูกหลาน
ให้ทรยศคดข้อส่อสันดาน
ก้มหน้าคลานซานซมดมกลิ่นเงิน"
 
ปรากฏว่า กลอนตอบโต้ของ "นิดา" นักแปลชื่อดัง ถูกเผยแพร่รวดเร็วและมากที่สุดในโซเซียลมีเดียขณะนี้

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“ทฤษฏีการแช่แข็งประเทศ” วิกฤติคับขันอย่างถึงที่สุดของทรราชผู้ชราภาพ ซึ่งใกล้จะพ่ายแพ้แก่สังขาร

ฮิตเลอร์เผด็จการทรราชผู้คลั่งชาติ = ทรราชผู้มั่งคั่ง
ตำรวจลับเกสตาโป = กอง... รักษาความมั่นคงมั่งคั่งภายใน ..อาณาจักรทรราช” กอ.รมน.
กองพลฮิตเลอร์จูเก้นท์ = กองทหาร รักษาทรราช

ฮิตเลอร์ ไม่ไว้วางใจ นายพลในกองทัพเยอรมันนี เพราะถูกลอบสังหารหลายครั้งโดยเหล่านายทหารในกองทัพ จึงได้ให้การสนับ
สนุน หน่วยทหาร เอส.เอส. ซึ่งเป็นหน่วยทหาร ที่ถือกำเนิดมาจาก หน่วยองครักษ์ประจำตัวของตน (Hitler s bodyguard) ที่ขึ้นชื่อ
ว่า จงรักภักดี มีวินัย มีประสิทธิภาพในการรบสูงสุด หน่วยหนึ่งของกองทัพเยอรมันนี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อภาษาเยอรมัน
 คือ Waffen SS.

นับแต่เริ่ม ฮิตเลอร์ ได้กระตุ้นเร่งเร้าให้ เยาวชนเยอรมันนี มีความรักชาติอย่างสุดโต่ง และได้ให้ความสำคัญกับเด็กชายเป็นอย่างมาก
ได้มีการวางรูปแบบระบบ อย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มให้เด็กชายในช่วงอายุตั้งแต่อายุ 10-14 ปี   เข้าฝึกฝน ความเชื่อในด้าน ลัทธินาซี
ระเบียบวินัยการทหาร ตลอดถึงการปลูกฝังหล่อหลอมความจงรักภักดี ต่อตัวผู้นำ คือ ฮิตเลอร์  โดยพรรคนาซี จัดตั้งองค์กร ที่เรียกว่า
จุงโฟล์ค(Jungvolk) คอยกำกับดูแล ส่วนเด็กผู้หญิงอายุ 10-14 ปี พรรคก็จะให้เข้าอบรมในหน่วยที่มีชื่อว่า จุงมาเดล (Jungmadel)

เด็กๆเยอรมัน จะได้รับการอบรมเกี่ยวกับ ลัทธินาซี ความเป็นชนชาติที่เข้มแข็งของชาวอารยัน ตลอดจนเรียนรู้เกี่ยวกับอาวุธพื้นฐานทั่วไป
เมื่อเด็กๆผ่านจุงโฟล์คมาแล้ว และมีอายุ 15-18 ปี ก็จะเข้าเป็นสมาชิกของ ยุวชนฮิตเลอร์ หรือ ฮิตเลอร์จูเกน (Hitler Jugend-Hitler
Youth) ซึ่งการเป็นสมาชิกของยุวชนฮิตเลอร์ ถือเป็นภาคบังคับของเด็กเยอรมันทุกคนที่ต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กร
การลอกเลียนแบบ กลวิธีในการครองอำนาจ ของทรราชตนหนึ่ง ใน สนธยาสารขันฑ์ประเทศ เฉกดุจเดียวกัน การครอบงำ
และแทรกใส่ คำโฆษณาการชวนเชื่อ อย่างยาวนาน ชำแรกใส่ก้อนสมอง ดำดิ่งฝังเกาะ เข้าสู่ความรู้สึกนึกคิดของเยาวชน  นับแต่
แรกชั้นอนุบาล จนถึงจบชั้นมหาวิทยาลัย ในทุกสาขาวิชา และเน้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ บัณฑิตผู้สำเร็จการโรงเรียนนายร้อยทหาร
และตำรวจ  เพราะ เยาวชนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ จะเป็น กองกำลังสำคัญ ในการค้ำชูบัลลังก์ของตน(ทรราชผู้มั่งคั่ง)

การควบคุมความรู้สึกนึกคิดของพลเมือง อันมีความคิดแปลกแยกกระด้างกระเดื่อง ต่ออำนาจความมั่นคงมั่งคั่งของทรราช โดยใช้
หน่วยงาน ตำรวจลับ แบบอย่างของนาซีเยอรมัน ที่ชื่อ “เกสตาโป” สำหรับสารขันฑ์ รู้จักกันในนาม “กอง... รักษาความมั่นคง
มั่งคั่งภายใน ..อาณาจักรทรราช”

เมื่อถึงคราวคับขันของสงครามในยุโรป ฮิตเลอร์ผู้เผด็จการนาซีเยอรมัน ได้ระดมพลพรรคยุวชนฮิตเลอร์ นับล้านคน เข้าต่อสู้ ในหน่วย
ยานเกราะ เอส.เอส. ฮิตเลอร์จูเกน และเข้าร่วมใน หน่วย เอส.เอส.คุ้มครองปกป้องกรุงเบอร์ลิน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กำลังมอบเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กให้กับยุวชนฮิตเลอร์
ซึ่งเชื่อว่าคือ Alfred Czech ภายนอกบังเกอร์ของเขาในกรุงเบอร์ลิน

เดือนสิงหาคม 1944 กำลังพลของ ฮิตเลอร์จูเกน สูญเสียอย่างมาก ทั้งกองพลเหลือกำลังพลเพียง 600 นาย จนต้องมีการปรับกำลังใหม่
กองพลฮิตเลอร์จูเกน ถูกตีถอยกลับไปในเขตเยอรมัน พร้อมกับความสูญเสีย ในช่วงปลายของสงคราม  ยุวชนฮิตเลอร์ เหล่านี้จำนวนมาก
ยอมสละชีวิต เพื่อปกป้องกรุงเบอร์ลินจากการบุกเข้ามาของรัสเซีย
เชลยศึกที่เป็นยุวชนฮิตเลอร์ (Hitler youth - Hitlerjugend) สังกัดกองกำลัง Volkssturm
ที่รักษากรุงเบอร์ลิน ในช่วงสุดท้ายของสงคราม มียุวชนฮิตเลอร์ อายุ 12 ปี เข้าร่วมในการรบที่กรุงเบอร์ลินด้วย

จนในที่สุด กรุงเบอร์ลิน ก็แตก พร้อมๆกับการละลายหายไปของ กองพลยานเกราะ เอส.เอส.ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน ทหาร เอส.เอส.ที่ 12
เหลือจำนวน 10,000 นาย ซึ่งเป็นเยาวชนกว่าครึ่ง ได้ขอยอมจำนนต่อกองทัพสหรัฐอเมริกา ณ.เมือง Enns ออสเตรีย เมื่อ 5 พฤษภาคม 1945

เชื่อได้ว่า ผู้คลั่งไคล้ในตัวทรราช อย่างฝังหัวสุดจิตสุดใจ นับจำนวนเรือนล้าน ก็คงมีพฤติกรรมไม่แตกต่างยิ่งหย่อนไปกว่าวีรกรรมอัน
ห้าวหาญของ ยุวชนฮิตเลอร์  ... การปกป้องทรราชอันเป็นที่รักสุดบูชา ในสารขันฑ์ประเทศ  ...จึงมีพลวัตรเทียบเคียงได้กับ บันทึก
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ กองพลฮิตเลอร์จูเกน
ทาสที่ปล่อยไม่ไป เหล่านี้ คงจะสู้จนตัวตายอย่างเด็ดเดี่ยวรุนแรง ในทุกกลวิธี ทุกสถานการณ์
“ ทฤษฏีการแช่แข็งประเทศ ”
จึงถูกประดิษฐ์ขึ้น ในคราววิกฤติคับขันอย่างถึงที่สุดของ ทรราชผู้ชราภาพ ซึ่งใกล้จะพ่ายแพ้แก่สังขาร

เยาวชนฮิตเลอร์ ผู้จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์ และ กองพล เอส.เอส. หน่วยองครักษ์พิทักษ์ผู้นำ ก็สูญสิ้นดับสลายไปตาม การ
อัตวินิบาตกรรม ของฮิตเลอร์ ในวันที่ 30 เมษายน 1945 (พ.ศ.2488)

ฉันใดก็ฉันนั้น ทาสผู้จงรักภักดี องกรค์ส้นตรีนพิทักษ์พ่อพิทักษ์แม่ทั้งหลาย ชาวบ้านเกณฑ์ผูกผ้าพันคอ และอีกนับร้อยพันชื่อ
ทั้งหมด ก็คงจะมลายหายอยาก สุดสิ้นความเสียวเสี้ยน เงี่ยนจงรักปากดี ไปกับความตายในทรราชผู้มั่งคั่งตนนั้น

รบนั้น รบกันแน่ แลตายจริงแน่ๆ เยอะเสียด้วย ในการดิ้นรนครั้งสุดท้าย เพื่อ ปกป้องทรัพย์สมบัติมหาศาลบานบุรี และ การถูก
กระชาก กากหน้าให้ได้อับอายก่อนวายปราณ ... ใครที่ไหนมันจะยอม ว๊ะท่านที่เคารพ
ที่จะนอนรอให้ตายห่า ไปเองฟรีๆ โดยไม่ต้องออกแรง มิมีใครเสียเลือดเนื้อนั้น  ... ฝันไปเหอะ
    
                  

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ประเทศชิบหายวายป่วงเพราะช่วยชาวนา ... ก็ให้มันชิบหายไป

*** ขอยืมเขามาจาก FB ของท่านไหน ขอขอบคุณท่านนั้นครับ

  เห็นคนจนลืมตาอ้าปาก คนบางพวกมันทนไม่ได้ .. ไล่ฟัดเรื่อง จำนำข้าว
  • หม่อมอุ๋ย ไปฟ้อง สตง
  • อาจารย์นิด้า ล่าชื่อ ล้มรับจำนำข้าว
  • ดิศนัดดา (เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ) ไปอัดในวงเสวนาออกสื่อ
  • TDRI เล่นเรื่องทุจริต
  • ปปช ขอผลวิจัย TDRI เดินหน้าเชือด "จำนำข้าวเจ๊งแสนล้าน"
อีกพวกก็เตรียมไปฟ้อง ศาลรัฐธรรมนูญ
เอากะพวกมัน  ....... เครดิตคุณeasyboy บ้านราษฎร์
 
อีกกี่วันที่ ชาวนาทั่วประเทศ จะระดมพล
ขี่รถอีแต๋น รถอีตู่ รถเกี่ยวข้าว เข้ามา กทม. เหนือ ใต้ อิสาน ตะวันออก ตะวันตก
มาแสดงพลัง สนับสนุน นโยบายข้าวของรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์
  ตบปาก ฉีกหน้า ทรราช และลิ่วล้อ นักวิชากวน'ส้นตรีน
  TDRI = To Do Right Idiot และ NIDA = New IDiot Attitute

Posted Image
    สส. แกนนำ ทั้งหลาย มัวทำส้นตรีน อะไรกันอยู่ครับ .... หัดรุกทางมวลชน กับเขาบ้างสิ โอกาสมาแล้ว
Posted Image
เขาล้มรัฐบาลประชาชนมา 2-3 ครั้งแล้ว จนหล่นจากเก้าอี้
ได้แต่นั่งอมสากเบือ บ่น ปลุกม๊อบ ตอดเล็กตอดน้อยไปมื้อมื้อ
บั ก ค ว า ย ตู้
   รุ่งศิลา ขอดิบดิบซักวันพี่น้อง
Posted Image

Posted Image
แกนนำแดงห่อเหี่ยวทั้งแผ่นดิน
:down:
ปล. งานนี้ระดมกันมา เที่ยว กทม. ร้องเพลงเล่นคอนเสิร์ท กินข้าวฟรี กันซือๆ ก้อด้าย
ไม่ต้องมีมวลชนต้องมาเสี่ยง โดนยิงพุงแตก หัวกระจาย เสียที่ไหนเล่า
 จะไม่แซว เรื่องแกนนำชอบร้องเพลง ซ๊าก กะ คำ
ไม่ต้องมากันเป็น ล้าน ร๊อก ซัก แสนเดียว ทั้งคนทั้งรถ กินนอนนั่งเล่นกัน2วันก็พอ แร้ว

        สโลแกน ....... แหล่มม๊ะพี่น้อง ว่า

" ชาวนาทั้งแผ่นดินสนับสนุน นโยบายข้าว นายก'ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลประชาธิปไตย
ต่อต้านรัฐบาลตัวแทนทรราช จาก รัฐประหาร 
 
.

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

อรชุน และ อรชร นำ อาวุธสงคราม เข้ามาทำไม ทั้งที่มีสั่งสมกันเหลือเฟือ

     

นักสังเกตการณ์ทั้งหลาย ต่างออกมาตีความหาความหมายกันอย่าง
เอาเป็นเอาตายหน้าดำคร่ำเครียด กับปรากฏการเดินสายให้โอวาท
อีกครั้ง ของ ป๊ะป๋าหงอก' หอกสี่เสา

ผู้ที่ถอกออกมาแต่ละครั้งต้องได้น้ำได้เนื้อนาบุญแห่งความดี แสดงโอวาทความมีบุญคุณของ
แผ่นดินพ่อ แผ่นดินแม่ท่าน(มัน)เสมอ เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีคุณความ ดีเสมอ..หู  เป็นผู้
ประพฤติชอบ ปฎิบัติ ดีชนิดไม่เคย..ห่างเหิน แลแต่ละก้าวเดินของลักกบุรุษเฒ่า ผู้ไม่เคยห่างหำ



เกมส์แย่งชิงเก้าอี้ตัวโตในประเทศ ครั้งสำคัญ เดิมพันกันด้วยอนาคต ตำแหน่งหน้าที่
คงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่อลังการ์ อำนาจบารมี ของลิ่วล้อสมุนบริวาร ทั้งสองฝ่าย   ....
รุกนำก่อนโดย อ้ายหงอกยอดขันทีหัวขบวน ก่อนที่พลังอำนาจทางการอาวุธ จะถูก
ลดทอนลงมากกว่าที่มี ..... ตามมาติดๆด้วย อ้ายหอกโพกผ้าเหลือง บวก อ้ายหงอก
ผีดิบสันติตาโปด, แหกปากส่งสำเนียงด่านำจากลูกแถว คนอัปรีย์ สีกบาลล้านเลี่ยน
ค.อ.ป. ,และ ทาสาทาสีขี้ข้า ทาสที่ปล่อยไม่ไป กลุ่มลักของหลวงห่วงคนล้างผลาญ

                                            

สายข่าวลับ ล่าสุด ให้ข้อมูลมาถึงการลำเลียงอาวุธสงครามจำนวนมาก เข้ามาทางตะเข็บชายแดนทางเหนือ
และทางตะวันตก มากว่าหลายเดือนแล้ว ของฝ่ายหนึ่งซึ่งประสงค์อยากจะขี่ม้าขาวเสียเต็มประดา หลังจาก
พลาดท่าหล่นหลังลา ให้นายกสาวคนแรกของประวัติศาสตร์ประเทศ ควบตัดหน้าไปชนิดขอบตาร้อนผ่าว
ผิดแผนโฆษณาชวนเชื่อ"นารีขี่ม้าเขียว มาทำเสียวบนแผ่นดิน" ที่ซุ่มทำการตลาดมาก่อนหน้าหลายปี

กับอีกฝ่าย ที่มีอำนาจรัฐของนายกพี่น้อง สนับสนุนตามกฏหมาย ด้วยสายสัมพันธ์ฉันมิตรผู้มีอุปการคุณ
อาวุธสงครามประดามี จึงหลั่งไหลเข้ามาทางชายแดนทิศตะวันออก มากเท่าที่ต้องการทุกเวลา ประเดิม
ล๊อตแรก 4 ตู้คอนเทนเนอร์(ลับ)

ไม่นับรวมกับกำลังพลในเครื่องแบบทั้ง ทหาร-ตำรวจ และพลเรืยนมหาดไทย ที่มีกฏหมายรองรับการใช้
อาวุธที่นายใหญ่ทั้งสองฝ่าย แบ่งแย่งกันครอบงำสั่งการ สับสนอลหม่านกันไปหมดทั่วทุกกรมกองกระทรวง

     มีผู้เสนอความเห็นแย้ง ถึงเหตุผล การนำเข้า'อาวุธสงคราม' มาทำไม
      ทั้งที่ในกองทัพ และกองกำลังบังคับบัญชาส่วนตัว ก็มีเกินพอแล้ว

จากข่าวคราวล่าสุดถึงการ แอคชั่นเอ็กเซอร์ไซซ้อมรบในเมือง โดยกองอารักขาส่วนตัว พลรบระดับกองพล
ทหารราบรบพิเศษ เต็มอัตรา จำนวนกว่า 10,000 นาย กลางพระมหานคร ของเจ้านายใหญ่ฝ่ายมีกฏหมาย
รองรับ แสดงแสนยานุภาพ ขยับยึดเมือง ข่มขวัญบารมี นายใหญ่ของอีกฝ่าย

         
                                        การข่มขืนประเทศแม่

ผู้สันทัดกรณี ได้วิเคราะห์ให้เห็นเหตุ ของการต้องมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองนอกสารบบกองทัพ และ
ติดอาวุธให้แก่พลรบสแตนด์บายพร้อมปฏิบัติการ24ชม.ทุกสถานการณ์ที่มีคำสั่งให้ออกชองทั้งสองพวกฝ่าย
โดยมิอาจไว้เนื้อเชื่อใจ บรรดาขุนพลผู้กุมอำนาจทั้ง 3 เหล่ารบ ว่าจะจงรักภักดียอมรับคำสั่งการยึดเก้าอี้แต่
โดยดี ทันการทันทีที่มีโอกาสหรือไม่ ... ด้วยข้ออ้างติดขัดผิดระเบียบราชการและกฏหมาย ในการเบิกจ่าย
นำอาวุธสงครามจำนวนมาก ในคลังอาุวุธของทุกเหล่าทัพ มาทำไม เพื่อการใด จำเป็นหรือไม่ ?

... เป็นความเสี่ยงต่อการปิดลับ มิให้ข่าวแพร่งพรายเข้าหูสื่อมวลชน และความอ่อนไหวต่อกระแสการต่อต้าน
ของประชาชน ในกรณีปฏิวัติรัฐประหาร อีกแล้วครับท่าน

ข่าวร้าย ที่ตามมา ต่อกองกำลังฝ่ายตรงกันข้าม ให้ทราบไว้แต่เนิ่นๆก็คือ หากนำรถถัง รถเกราะ รถรบทั้งหลาย
ออกมาหมายจะบดขยี้คู่ต่อสู้ ก็จะเป็นเป้าลองซ้อมมืิอของ จรวดขีปนาวุธต่อสู้รถถังหนัก แบบตุ๊มเดียวจอด
ไฟลุกท่วมคัน ... ไม่ก็ ขีปนาวุธนำวิถีชนิดประทับบ่ายิง พื้นสู่อากาศ ไว้สอยฝูงบินรบทั้งหลาย ไม่เว้น ฮ.
ที่บังอาจบินข้ามหัวข้ามหูน่ารำคาญ

                  


                  จงรบกันเถิด อรชุน และ อรชร
            ให้มันวิบัติฉิบหาย รู้ดีรู้ชั่ว ตายโหงตายห่ากันไปข้าง
ฤา จักตายเห.ี้ยนกันทั้งสองข้าง ก็เป็นคุณานุปการแก่ชาติและปวงชน
        มิต้องห่วงหาอาวรณ์ว่า ขาด .. แล้วจักสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
           ประชาชนทั้งสิ้นจักปกป้ักษ์รักษา บ้านนี้เมืองนี้ไว้เอง
   จงตายอย่างหลับตาเถิด ชื่อของเจ้าจักถูกจารึกไว้นานเท่านาน
           ทรราช ผู้มีสินธุรกรรมเหลือคะเน เจ้าบุญเจ้าคุณประเทศ

                             บทความนั่งเทียนที่มิน่าเชื่อถือ โดย : รุ่งศิลา

.

อ้ายอีตนใดที่มันหมิ่นนายหลวงจงฟัง กู

ปณิธานจากนายกอง ถึงไอ้เนรคุณแผ่นดิน มึงอย่าได้ใช้แผ่นดินร่วมกับกู


ทาสที่ยังปล่อยไม่ไป ไปไหนไม่เป็น ไม่เห็นหนทางเสรีชน

... ปล.ถ้ายึดถือตามธรรมเนียมโบราณกาล ทาสคู่ใจ หรือ นายทหารราชวัลลภคู่บารมี นี่ต้องถือกฎตายตามนาย ไปด้วย คือ นายตายก็ต้องฆ่าตัวตายตามกันไปรับใช้ใกล้ชิด จิตวิญาณลอยตามละอองฝุ่นใต้ตีนไปติดๆ
... อ้ายนายกองเอ็งจงตระเตรียมตนไว้ให้พร้อมมูลเถิดเกือบจวนเพลาแล้ว


ตำแหน่ง นายกองสยาม นี่ คงเทียบได้ตำแหน่ง นายพัน บังคับกองทหารระดับ กองพันรบ คุมไพร่เลวประมาณ 600-1,000 นาย
[4 กองร้อย (Company) เป็น 1 กองพัน (1 กองพัน = 704 นาย)]

เปลี่ยนชื่อจาก สยาม เป็น ไทย ในสมัยรัชกาลที่8 ปี พ.ศ.2482 หรือ ค.ศ.1939 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง


                                         การยกเลิกระบบทาส

ฉันนั้น ข้อเขียนนี่ก็ ต้องอยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ช่วงที่ยังเป็นประเทศสยาม มิใช่ปัจจุบัน
ปรัชญาความเชื่อมั่นดัง ข้อความข้างต้น จึงเป็นเรื่องปกติ ของยุคสมัยนั้น


ทว่าหากหมายถึงในยุคสมัยปัจจุบัน นับแต่การเปลี่ยงแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ ล้มล้างระบอบกษัตริย์
ถึงปี พศ.๒๕๕๕ นี้ ก็นับได้ว่า ขาดความรู้และล้าหลังตกยุคสมัย เป็นจินตนาการความบ้าคลั่ง ลัทธินิยมเจ้าเฝ้า
หมอบคลาน ยอบกายเพื่อให้ได้สัมผัสกับละอองฝุ่น อันปลิวมาแต่ฝ่าตีน ดุจดั่งเดียรัจฉานอันมีท่อนกายขนานกับ
พื้นผิวโลก


         ซึ่งนับได้ว่า พวกมึงมันบ้าฉิบหาย มีความคิดอ่าน
        อันเชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นอย่างสูง

        สมควรที่รัฐไทย จักได้เตรียมการรับมือกับผู้ที่มีความคิดเป็น
        ภัยอันตรายร้ายแรงกับรัฐธรรมนูญของประเทศนี้


       

                          เชิงอรรถ การจัดกองทหารสมัยใหม่
                       1 หมู่ มี 11 นาย (ต่างประเทศบางแห่งอาจจัด 7-8 นาย)
                       4 หมู่ (Section) เป็น 1 หมวด (1 หมวด = 44 นาย) (บางแห่งอาจจัด 2-4 หมู่)
                       4 หมวด (Platoon) เป็น 1 กองร้อย (1 กองร้อย = 176 นาย)
                       4 กองร้อย (Company) เป็น 1 กองพัน (1 กองพัน = 704 นาย)
                       4 กองพัน (Battalion) เป็น 1 กรม (1 กรม = 2,186 นาย)
                       4 กรม (Regiment) เป็น 1 กองพล (1 กองพล = 11,264 นาย)
                       4 กองพล (Division) เป็น 1 กองทัพภาค (1 กองทัพภาค = 45,056 นาย) (Field army)


                             นำภาำพ'ปณิธานจากนายกอง'มาจากเฟซบุค อินเตอร์เนต

.

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

"กระบือร่ำไห้ ด้วยว่า พยัคฆาจักวาย สุกรอาลัย เป็นห่วง ฅนเชือด"

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข


ระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข


ใน อาณาจักรของคนตาบอด ทั้งชายหญิงและเด็ก คนตาบอดข้างเดียวจึงได้เป็นราชา
ขณะที่รัฐอันปกครองด้วย
ระบอบชราธิปไตย จึงมีชายชราเป็นพระราชา แวดล้อมด้วย
อำมาตย์,มุขมนตรี ล้วนแก่เฒ่าชราภาพ

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตย จึงมีความเป็นไปดังคำอธิบาย
ไว้เบื้องต้น การว่าราชการของราชาเนตรเดียวผู้ชรา และเหล่าผู้เฒ่าเสนาบดีตาบอด จึงเป็นไปโดยหรี่สลัวทึมเทา
การขับเคลื่อนของระบบราชการเมืองตาบอด จึงเชื่องช้ายืดยาด ตามประสาระบบแห่งไม้เท้านำทางและมีหมานำ


    

ความเป็นอยู่ของประชาบอดไพร่ฟ้า จึงจ่มเจียม เนิบนาบ พออยู่พอกิน มิฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
การอันใดที่
แปลกใหม่ ความคิดเห็นที่ผิดแผก จึงเป็นความผิดวิปลาสและจักต้องโทษทัณฑ์กบิลเมือง ด้วย
เหตุเพราะ
คนที่ตามองเห็นเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งความจริง ไฉนเลยไพร่ผู้ตามืดบอดทั้งสองข้าง จึงจักสู่รู้อวดดี
กว่า
พระราชาตาเดียวผู้เปรื่องปราชญ์อัจฉริยะ ทัณฑ์ที่ได้รับจึงสมควรแก่เหตุ

ธรรมเนียมจารีต  ที่ได้ตรากำหนด ยึดถือกันว่า

" หากแม้นมีทารกไม่ว่าชายหรือหญิง เกิดมาพร้อมดวงตาสดใสไม่มืดบอด นางตำแยผู้ทำคลอด
นั้น ต้องกำจัดทารกที่อาจเป็นภัยในภายภาคหน้านั้นเสีย แม้นว่ารู้เห็นเป็นใจให้เด็กนั้นมีชีวิตรอด
ปลอดภัย นางตำแยผู้นั้น และบิดา-มารดาของทารก จักต้องได้รับโทษถึงแก่ชีวิต"

... เหมือนดังฟาโรห์ผู้เxี้ยมโหดที่สุดในบรรดาฟาโรห์ของอาณาจักรอิยิปต์โบราณ ที่ได้สั่งทหารให้ฆ่าทารก
เพศชายชาวยิวทุกคน ที่เกิดในแผ่นดินของเขา ด้วยเห็นว่าคนยิวมีมากเกินไป และอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง
ของอาณาจักรในภายภาคหน้า .. อันนี้คงคล้ายคลึงกับหน้าที่ของหน่วยงาน "กองรักษาความมั่นคงภายใน"
ของ ประเทศคนตาบอด (เชิงอรรถ)


ความสมมะถะ ในการดำรงชีวิตของพลเมืองบอด คือ ปรัชญาอมมะตะ "เพียงพอแลนุ่งห่มเจียม" นั้น
เป็นนโยบายสูงส่งที่ประชาชนพึงยึดไว้เป็นความสุขสูงสุดของชีวิต นับเป็นวาสนาบุญคุณหาที่สุดมิได้ ที่ได้
เกิดมาบนผืนแผ่นดินของ บิดาผู้อัจฉริยะ' ปะป๊าแมคไกวเว่อร์

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุดบนแผ่นดินบอด คือ เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงเท่านั้น เช่น เครื่องรับวิทยุ
ชนิดให้ฟังอย่างเดียว,คำบอกเล่าปากต่อปากและเสียงลือเสียงเล่าอ้าง รวมทั้งคำประกาศต่างๆสลับกับเสียง
เพลงมาร์ชกองทหาร ... ฉันนั้น สินค้านำสื่อสารประเภทมีภาพ ทั้งนิ่งและเคลื่อนไหว จึงไร้สาระ ขายไม่ได้
เป็นสิ่งต้องควบคุม ทั้งตัวเครื่องเช่น โทรทัศน์อัจฉริยะ โทรศัพท์มีภาพ และระบบนำสารแบบเฉียบคมฉับไว
อาทิ สามจี สี่ที ห้ามี ทั้งหลาย ถือเป็นยุทธปัจจัย ห้ามประชาตาบอดมีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต
อีกประการหนึ่ง

"ถึงมีไว้ก็ใช้ประโยชน์ทางจักษุทัศน์ มองดูหาได้ไม่ ใช่ไหมปวงประชาตาบอดทั้งหลาย เชื่อเราเถิด
เพราะท่านทั้งหลาย ต้องมองให้ดีดีจึงจะเห็นว่าดี หากท่านมองไม่ดีท่านจะได้ชื่อว่ามองไม่ดี ทางที่
ดีท่านอย่ามองดีกว่า เพราะเราฟังแล้วเราไม่ชอบมากมาก"
พระราโชวาทของ คิงบอดยอดอัจฉริยะ
ให้ไว้ ณ วันที่นั้น เวลานู้น เนื่องในการออกแขกงานยี่เก


  จึงเกิด "ขบวนการตาสว่าง ปลดแอกการปกครองระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข"
  ที่มีเพลงปลุกใจให้ลุกขึ้น ดังว่า

"จงตื่นเถิดวัวควาย อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองมั่นคงก็เพราะเราทั้งหลาย"

กาขาว' เนื้อแท้เหล่าสู สามัญ







วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตามบดขยี้ให้สิ้นซาก อย่าหลงเหลือเอาไว้ ทำร้ายประชาชน องค์กรริยำ ขี้ข้าทรราช


Posted Image


ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

ในการย้อนรอยกลับมาของ ทรราช ด้วยการกวาดล้างที่รุนแรง
ต่อผู้ที่ขวางทางอำนาจ อย่างโหดร้ายทารุณเสมอ
นอกเหนือจากนักการเมืองฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ขบวนการประชาชนประชาธิปไตย
ก็เป็นเป้าหมายหลักที่ต้อง ถูกทำลายให้สิ้น หมดเสี้ยนหนาม และไร้พิษสง

2 ปีหลังความกระหยิ่มในชัยชนะของนิสิตนักศึกษาประชาชน เป็นบทเรียนที่ต้องนำมา
ย้อนทบทวนบาดแผลความผิดพลาดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา

พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบเสแสร้ง เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา
ปกคลุมทั่วทุกระบบ ในทางเดียวกันกลับสวนทาง กับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
ด้วยการประนีประนอมเพื่อถ่วงเวลา เสวยอำนาจครอบงำอย่างช้าช้า โดยไม่ทันให้สังเกต....

เลี้ยงไม่ให้ผอมโซ..แต่ก็จำกัดไว้ไม่ให้โตอ้วน

พลวัตร ของขบวนการประชาธิปไตยเติบใหญ่เคลื่อนไหวมากเท่าไร
พัฒนาการของ ทรราชอมาตยา ก็แนบเนียน ยิ่งยิ่งขึ้น

ต่างพวกต่างเหล่าก็ปรับปรุงตัว จากข้อผิดพลาดของตน...แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเป้าหมาย...
การช่วงชิงอำนาจไว้ในกำมืออย่างยาวนานที่สุด

โอกาสนี้ รอบ 100 ปี มีแค่ครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวเท่านั้น .....
ถ้าแพ้อีกครั้ง ก็ดิ้นรนหาหนทางรอดตัวใครตัวมันเถิด แล้วอย่าลืมบอกลากันด้วย ...
เพราะนี่คือเดิมพันครั้งสุดท้าย ของกลุ่มพลังรากหญ้าที่สะสมความพ่ายแพ้
มาโดยตลอด อย่างยาวนาน

โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
หมายความว่า จะคิดกำจัดศัตรู ปราบพวกคนพาล
ให้หมดสิ้นทีเดียวแล้ว ก็ต้องปราบให้เรียบอย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว
มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้อีก

ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่
จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ใช้ตลอดถึงการทำลายล้างคนพาลสันดานโกงต่างๆ


มันฝังรากลึกในสังคมไทย ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน
ก็คงต้องทนให้หนามมันทิ่มตำต่อไป





Posted Image

มีสะเก็ดประวัติศาสตร์

อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนกรุง มาเขียนให้อ่านเล่นๆไม่จริงจัง ดั่งนี้ ครับ
กล่าวย้อน ณ.ปลายแผ่นดิน รัชสมัยกรุงธนบุรี คราวศึกอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพชราของพม่า

สมเด็จพระเจ้าตากสิน โปรดเกล้าให้
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหิมาทุกนคราระย่อเดช
นเรศราชสุริยวงศ์ องค์บาทมุลิกากร บวรรัตนปรินายก
( ทองด้วง )
ออกเป็นแม่ทัพรับศึกหนนั้น และเป็นที่มาของพระราชพงศาวดาร เรื่อง อะแซหวุ่นกี้ ขอดูตัว
แม่ทัพฝ่ายไทย
และได้ทำนายนรลักษณ์ว่าจักได้เป็น พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สืบต่อในภายภาคหน้า


โดยส่วนตัวผู้เขียน(รุ่งศิลา) วิเคราะห์ได้ในเชิงกลศึกพิชัยสงครามว่า น่าจะเป็นการใช้ จิตวิทยา
ให้แตกแยกภายในชิงอำนาจกันเอง หรือ ด้วยเป็นเพียงเรื่องแต่ง เพื่อเจิอสมกับการรัฐประหารยึดอำนาจ

พระเจ้าตากสิน

ในรัชสมัยนั้นกรุงธนบุรีสยามเข้มแข็งมาก พรั่งพร้อมด้วยแม่ทัพนายกองเหี้ยมหาญศึก
รบทัพมาอย่างฉกาจโชกโชน

และที่ค่อนข้างจะหาข้อเท็จจริงได้ยากเกี่ยวกับครานั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ได้เพลี่ยงพล้ำในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ และพระเจ้าตากได้ทรงแก้กลับคืน จนได้รับชัยชนะ
ซึ่งในการนี้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ทองด้วง) ต้องโทษทัณฑ์อาญ ในความหย่อน
ยานต่อการศึก ด้วยการโบย ซึ่งเป็นความแค้นฝังลึกในใจ อันนำมาซึ่งมูลเหตุส่วนหนึ่งต่อการ
ช่วงชิงราขสมบัติในเวลาต่อมา

ส่วน นายบุญมา ผู้น้องชาย ภายหลังได้เป็น
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
ก็เคยต้องอาชญา โทษโบยเช่นกัน ในรัชสมัยกรุงธนบุรี

ป็นไปตามคำกล่าวชี้นำของแม่ทัพพม่าผู้ชราทุกประการ
อันรวมถึงความหมิ่นแคลนในชาติตระกูลของ พระเจ้าตากสิน ว่าเป็นเชื้อ เจ๊กจีน มิใช่ราชสกุล
แปดสาแหรก(แปดสายแรก) นับได้สืบเชื้อสายกันมา

และเมื่อได้คราถึงฤกษ์ สองพี่น้อง ทองด้วง และ บุญมา จึงร่วมกันปฏิวัติ ชิงราชบัลลังค์กรุงธนบุรี
และปราบดาภิเษก เถลิงราชสมบัติ สถาปนา
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์
อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

และได้ปฏิบัติการตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ล้างครัวกำจัดข้าบาทบริกา
แลขุนทหารคนสนิททั้งหลายซึ่งถวายตัวเป็นข้าใน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สืบกระบวนการ
มาจนถึง เจ้าฟ้าเหม็น เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ
ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ) บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มี ...

เจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม)
พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา)
พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ)
พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น
จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด
เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่ง
สมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา ฝ่าย เจ้าพระยาอินทวงศา
อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง
ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ยังเหลือไว้แต่ กรมขุนกษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น) ราชโอรสที่เกิดแต่ลูกสาวของพระยาจักรีที่ไว้ชีวิต
(แต่เมื่อรัชกาลที่1สวรรคตลง ก็มีการหาเหตุขจัดเสี้ยนหนามในที่สุด โดยตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
อ้างว่ามี อีกาคาบข่าว มาบอกผู้มีอำนาจในเวลานั้นว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะทำกบฎ อันฟังในยุคนี้แล้วก็เป็น
ข้อหาที่ตื้นเขินสิ้นดี)


บทความนี้เป็นวิเคราะห์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งยังมิอาจหาข้อสรุปยุติได้ เป็นเพียงความเห็น
แย้งส่วนหนึ่งซึ่งนำเสนอ วิพากษ์


          บทความโดย รุ่งศิลา
            ๔ มีนาคม ๒๕๕๑



                     Posted Image    มิได้กระหยิ่มใจหรอกครับว่า "เราชนะแล้ว"
แต่ในการยุทธนี้ เราได้เปรียบด้วยการระดมสรรพกำลังรบที่มี ความรู้แจ้งชัดเจน
และเป็นหนึ่งเดียว ... ฝ่ายศัตรูมันใช้กลยุทธแบบเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนทำซ้ำซาก
มา 4-5 ครั้ง ด้วยขุนพลตนเดิม จึงชะล่าใจว่าไร้ผู้ต่อต้าน


แต่ ณ.ยุคสมัย แห่งความเจริญของเทคโนโลยี่การสื่อสารไร้ขอบเขต การยุทธ
ของขุนพลระบบอนาลอค ที่เคยได้เปรียบในเชิงปริมาณและจำนวน จึงเริ่มถดถอย
และจะอ่อนล้าหมดแรง ถึงอาจล่มสลายไปในที่สุด

ต้องช่วงชิงความได้เปรียบนี้ ตามตีกดดัน ให้แตกพ่ายไปเป็นส่วนๆ ก่อนที่ ศัตรู
จะระดมสรรพกำลังทุกองคาพยพ พลิกปรับตัวเข้าช่วงชิงใช้เทคโนโลยี่เดียวกัน
ตีตอบโต้ ... เพราะด้วยกำลังทรัพยากร และจำนวนคนบ้าคลั่งระบอบทรราชนั้น
พวกเขาสามารถ นำเอาเทคโนโลยี่ที่สร้างสรรค์ความเจริญแก่ผู้คน ให้กลับมาใช้
ทำลายล้างได้อย่างเอนกอนันต์


.

อัจฉริยะเชิงชาญ “มารบังเงา”



Posted Image



 Posted Image

เวรกรรม

Posted Image

มนุษย์ทุกคนย่อมเลือกเส้นทางดำเนินชีวิต ที่สั้นที่สุดและตรงที่สุดเท่าที่ชีวิต
จะพึงมีโอกาส .. ด้วยเพราะ ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาคดเคี้ยว
ทุกๆชีวิตอยากจะเดินเส้นทางตรงถึงยังจุดหมายปลายทางที่ตนวาดหวัง ...
ซึ่งน้อยรายนักจะสมดังหวัง

ประสพการณ์ความเจ็บปวดของชีวิต จึงบ่มสอนว่า จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก
แลเที่ยงตรงต่อวินิจฉัยและก้าวต่อไปข้างหน้า แม้ว่ามันจะเจ็บปวด ด้วยต้อง
สูญเสียอวัยวะไป เพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ให้คงอยู่ ... เฝ้ารอให้ถึงวันนั้น

Posted Image
Posted Image

Posted Image
มิเตอร์ใกล้น๊อคแล้วเว้ยเฮ้ย

ยานยนต์ลาดตระเวนโจมตีเคลื่อนที่เร็ว 'บัคกี้'



ยานยนต์เคลื่อนที่เ็ร็วทางยุทธวิธี

รถบัคกี้ (Buggy) เป็นยานยนต์ที่มีความคล่องตัวสูง สร้างทดแทนง่าย คือ สามารถพัฒนาและผลิตได้จาก
วัสดุที่จัดหาจากท้องตลาด และดำเนินการผลิต โดย สรรพาวุธ ทบ. ร่วมกับ บริษัทผลิตรถยนต์ ภายในประเทศ
เราเอง เดือนหนึ่งสามารถสร้างได้เป็น 100 คัน ซึ่งราคารถเปล่าไม่รวม
เครื่องมือสื่อสาร และระบบอาวุธที่ติดตั้ง
ทั้งหลาย
เบ็ดเสร็จงบประมาณต่อคัน ไม่เกิน 500,000 บาท  ราคา ขั้นต่ำสุด 200,000 บาท  ก็สามารถสร้างได้ 

 photo FavThaiblack800_zps6ee65119.jpg
แบบตัวอย่างนี้ ผู้เขียน(รุ่งศิลา) ดัดแปลงมาจาก ยานยนต์โจมตีความเร็วสูง FAV
(Fast Attack Vehicle) ของหน่วย นาวีซีล ยูเอส. (United States Navy SEALs)

รายละเอียดรถลาดตระเวณโจมตีเคลื่อนที่เร็ว

พลประจำรถ : จำนวน 2 นาย : พลขับ พลปืนกล
ระบบขับเคลื่อน  : 2 ล้อหลัง เครื่องยนต์ท้าย
เครื่องยนต์เบนซิน ขนาดความจุ 1300 - 1500 ซีซี.
ล้อรถ : ยางตันหล่อดอก 4 ล้อ
อาวุธ : ติดปืนกลเบา เนเกฟ ขนาด 5.56 มม. จำนวน 2 กระบอก บนช่องพลยิงบนหลังคารถ
          และ บริเวณกระโปรงหน้าที่นั่งด้านข้างพลขับ อาวุธอาจเปลี่ยนเป็น ปืนกล เอ็ม-60
  เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม. ยิงเป็นชุด และ ปืนกลหนัก M2 Browning .50 Cal
อาวุธประจำกายพลประจำรถ : ปืนพกสั้น 9 มม.ซองหน้าอก และปืนไรเฟิลพับฐานขนาด 5.56 มม
โครงรถ  : เหล็กเหนียว หรือ อลูมิเนียมอัลลอย
ระบบไฟ : แบตเตอรรี่แห้ง 12 โวลต์
ไฟส่อง   : ไฟหน้า4ดวง ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ตามมาตราฐานรถยนต์ สามารถเพิ่มไฟสปอร์ตไลต์ได้ตามภาระกิจ
ระบบสื่อสาร : ติดวิทยุสื่อสารตามแบบมาตราฐานของ ทบ. พร้อมชุดปากพูดหูฟังประกอบศรีษะ

สามารถจัดรูปแบบปฏิบัติการในลักษณะ หมู่ลาดตระเวนยานยนต์ระยะไกล ใช้ ยานยนต์ บัคกี้ 2 คัน และ
มอร์เตอร์ไซด์ 3 คัน จัดขบวนเป็น 1 หมู่ลาดตระเวณไกล เสริมด้วย ฮ.บินคุ้มกันและกู้ภัย ปฏิบัติภารกิจ


และ จัด หมู่ย่อยลาดตระเวนคุ้มกัน ใช้ ยานยนต์บัคกี้ 1 คัน และมอเตอร์ไซด์ 2 คัน ในภารกิจแบบเดียวกับ
กรณีโจรใต้ขับรถปิคอัพประกบยิงมอเตอร์ไซต์ทหาร ชุดลาดตระเวน สังกัด ร้อย.ร.15321 ฉก.ปัตตานี 25
ในเช้าวันที่
28ก.ค.55 เวลา 06.50 น. จนเป็นเหตุให้ ทหารเสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บ 2 นาย ที่ อ.มายอ
จ.ปัตตานี
จากภาพวิดิโอ


     

ข้อดี
  • ประหยัดงบประมาณ สามารถสร้างทดแทนได้ในระยะเวลาสั้นจำนวนมาก ในราคาถูก
  • เสริมศักยภาพการพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมพัฒนาการผลิต มิต้องพึ่งพาเทคโนโลยี่จากต่างประเทศ(ยกเว้นระบบอาวุธ)
  • ความคล่่องตัวสูง เป็นยานยนต์ที่สามารถวิ่งได้ในแทบทุกภูมิประเทศ
  • ค่าใช้จ่ายถูก ในปฏิบัติการ, บำรุงรักษา, ค่าเชื้อเพลิง ถูกกว่าพาหนะอื่น :- Reva 4x4 , Humvee , V-150
  • เสริมสร้างขวัญกำลังใจ ของกำลังพล ด้วยศักยภาพในการต่อสู้ ลดทอนอันตราย และความเหนื่อยล้า
       จากการเดินลาดตระเวณ

ข้อจำกัด
  • ตะปูเรือใบ ปรับเปลี่ยนยางเป็นยางตัน
  • ไม่มีเกราะหุ้ม ชดเชยด้วยความเร็ว ความคล่องตัว ระบบสื่อสาร กล้องมองในความมืด
  • กับระเบิด จ้ดรูปขบวนทิ้งระยะห่าง ให้สามารถเสริมกำลังทดแทน ช่วยเหลือกันได้
  • กรณีฉุกเฉิน สามารถร้องขอชุด ฮ.บิน สนับสนุน คุ้มกัน และกู้ภัย

    การส่งทางอากาศเข้าพื้นที่เป้าหมาย
                       ด้วยความรวดเร็ว เพื่อความได้เปรียบทางยุทธวิธี 


                    ฮ.ชินุค CH-47 Chinook โดยขอเกี่ยวใต้ลำตัว น้ำหนักยกหิ้วภายนอก 10.5 ตัน
ทบ.ไทย มี ซีเอช-ชินุค จำนวน 6 ลำ แต่ไม่สามารถบินได้ครบทุกลำ เพราะขาดงบประมาณบำรุงรักษา


           ยูเอช-60แอล แบล็คฮอว์คUH-60 L หรือ S-70A-43 สามารถบรรทุกสินค้าได้ 1,170 กิโลกรัม
หรือขนสินค้าแบบห้อยได้ 4,050 กิโลกรัม(ได้รับการปรับปรุงเป็น UH-60 M แล้วทั้งหมด) จำนวน 8 ลำ ประจำการ
ณ.กองบินปีกหมุนที่ 9(ผสม) จังหวัดลพบุรี

    

 photo Ringmount2.gif
  แบบช่องพลยิงบนหลังคา รถบัคกี้ สามารถตรวจการและทำการยิงต่อสู้ได้รอบทิศทาง 360 องศา

 รถหุ้มเกราะ APC 4x4 REVA MK lll ติดปืนเล็กกลเนเกฟ จากอิสราเอล ที่ ป้อมปืน หน้า-หลัง 2จุด


 
ยุทธวิธีของผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ ที่มักใช้ได้ผล ในการลอบสังหารเจ้าหน้าที่
ทหาร ตำรวจ และประชาชนบนท้องถนน



ยานลาดตระเวนโจมตีเคลื่อนที่เร็ว ชนิดต่างๆ



บทความรุ่งศิลา Aug 02, 2008




         ผมนำเสนอ ยานยนต์ "บัคกี้" ชนิดนี้เพื่อนำมาเสริมข้อจำกัด การใช้รถจักรยานยนต์ 2 ล้อ
         เพื่อภารกิจลาดตระเวณคุ้มครองและโจมตีตอบโต้ ของเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจผู้ปฏิบัติงาน
         ภาคสนาม ดังตัวอย่างภาพ และ

         กรณี ล่าสุดจากคลิปวิดิโอ ที่ทหารชุดคุ้มครองครู ถูกลอบโจมตี ในภาพนั้นจะเห็นได้ว่า
         ยุทธวิธีของผู้ก่อความไม่สงบ ได้ ขับรถเข้าเทียบจากด้านหลังมุมมองตรวจการของ
         ทหาร และลงมือปฏิบัติการยิง ด้วยความรวดเร็วหนาแน่น
กระนั้นถึงแม้ว่าพลขับและพลปืน
         ซ้อนท้ายจะเห็น ก็ยากที่จะทำการต่อสู้ป้องกันตัวได้ในลักษะการการโจมตีจากทางด้านหลัง


การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่เร็ว คล่องตัว ขนาดปานกลาง ติดอาวุธปืนกล และอาวุธหนัก
(เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม.)  มีทัศนะวิสัยในการใช้อาวุธเข้าป้องกันต่อตี ได้รอบทิศทาง 360 องศา สามารถ
วิ่งลัดเลาะนอกพื้นผิวถนน บนทางวิบาก ทุรกันดาน ในเรือกสวนไร่นา สวนยาง จึงมีความจำเป็นในการเสริม
ข้อจำกัด ของการใช้จักรยานยนต์เพียงชนิดเดียวในการปฏิบัติภารกิจ


มิใช่การนำมาทดแทนยานยนต์หุ้มเกราะชนิดต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่ ซึ่งมีความแตกต่างกันมากในข้อจำกัด ด้าน
ค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าสึกหรอของชิ้นส่วนอะไหล่ และด้านจำนวนที่มีใช้อย่างพอเพียง

เป็นการจัดหาได้อย่างเร่งด่วน จากภูมิปัญญาและทักษะ รวมถึงความรู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี่ การผลิต ของ
ยานยนต์ "บัคกี้" นี้ ภายในประเทศแทบทุกชิ้นส่วน และช่างฝีมือผู้ชำนาญมิต้องใช้งบประมาณและทรัพยากร
หรือโนว์ฮาวจากต่างประเทศใดๆทั้งสิ้น

ท่านผู้ใหญ่ผู็้โตทั้งหลายโดยเฉพาะในกองทัพ ลองใจกว้างเจียดค่าคอมมิชชั่นฟันตามน้ำ โยนเศษสตังส์ ซัก 50
ล้านบาท ก็จะได้ "รถบัคกี้" ยานยนต์เคลื่อนที่เ็ร็วทางยุทธวิธี ชนิดนี้กว่า 100 คัน ดีกว่าให้ลูกน้องเณร ลูกอีสาน
มาเสี่ยงตายแบบไร้ทางสู้ บนอานมอเตอร์ไซต์ ซึ่ง วิ่งไว แต่ไร้พิษสง



                     ** ปล. บทความนี้ ผมเขียนมาตั้งแต่ วันที่ 2 สิงหาคม 2551 ... รุ่งศิลา




  ผมมิได้บังอาจนำเสนอการแก้ปัญหา ไฟใต้ ซึ่งคุกรุ่นมาเป็นร้อยปีแล้วนับแต่มีการครอบครอง
เมืองปัตตานี และปลดชนชั้นปกครองในพื้นที่เดิม ผมเพียงนำเสนอ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างเร่งด่วน
ด้วย ภูมิปัญญาไทย ด้วยงบประมาณอันจำกัดน้อยนิด เพื่อรักษาชีวิตไพร่พล ลูกหลานชาวบ้านจากภาค
ส่วนอื่นของประเทศทุยแลนด์แดนตอแหลนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

ส่วนท่านผู้รู้กรุณานำเสนอ ยานยนต์และยุทธวิธี อื่นๆทั้งหลายทั้งสิ้น ต้องขอขอบพระคุณมา ณ.โอกาสนี้
เพียงแต่กรุณาดูข้อมูลที่จะทยอยนำมาให้ด้วย



นี่คือสภาพ รถหุ้มเกราะ APC4x4 REVA MK lll เป็นยานยนต์ล้อยางลำเลียงพลหุ้มเกราะที่ผู้ขายนำเสนอ
แก่
ผู้นำกองทัพ อย่างพอใจเจือสมด้วยกันทั้งสองฝ่ายซึ่งบรรยายสรรพคุณ ว่าสามารถป้องกันแรงระเบิด
น้ำหนักถึง 14-15กก.(นน.ของระเบิด)  โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้อง
รถ  ซึ่งเหมาะกับการนำมาใช้กับสภาวะที่ 
กลุ่มคนร้ายมักใช้แผน ขุดหลุมฝังระเบิดแสวงเครื่อง
ใต้พื้นผิวถนน  ... ชนิดล่าสุด และกันระเบิดดีที่สุดที่มี

REVA  ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องทหารจากสงครามกองโจรโดยเฉพาะ ทั้งดักซุ่มยิง กับระเบิดและระเบิด
แสวงเครื่อง IED



รถหุ้มเกราะ APC 4x4 REVA นับเป็น ยานพาหนะทหารที่คุ้มครองชีวิตจนท.ทหารไทยที่ดีที่สุด เท่าที่
กองทัพไทย
มีปัญญาซื้อ จำนวน 85 คัน ราคาคันละ 11 ล้านบาท (ฮัมวี่ 4 ล้านบาท) ทบ.ได้รับส่งมอบ จาก
บริษัทผู้ผลิตในอาฟริกาใต้ทั้งสิ้น ในปี 2552 ส่งลงไปภาคใต้ทั้งหมด ใช้ในภาระกิจ
ลาดตระเวณ และชุดคุ้ม
ครอง ซึ่งยังไม่พอเพียงกับภารกิจใช้งาน


** ปล.ทหารในพื้นที่ เขาบอกอยากได้ไว้ใช้เยอะๆครับ ซัก 500-600 คัน ถึงจะพอใช้
งานทั่วถึง แต่ติดขัดตรงกองทัพ ไม่มีปัญญาหามาให้ ถึงหามาได้ก็ไม่มีน้ำมันจะเติมครับ
เพราะซดน้ำมันเชื้อเพลิง น้องๆรถถังเบา
ลองหลับตานึกดูนะครับ วิ่งทุกคันวันละ 2 เที่ยว ๆละ10กม. เป็นเงินงบประมาณวันละเท่าไร?

          

IED หรือ ระเบิดแสวงเครื่อง เรียกเต็มๆว่า Improised Explosive Device
ถูกใช้กันมาก ในกลุ่มผู้ก่อการร้าย (โดยเฉพาะสงครามในตะวันออกกลาง) โดยเป้าหมายหลักในการทำลาย
คือ กลุ่มกองกำลังทหาร และ ยานพาหนะ รวมถึง รถถังขนาดใหญ่ กลุ่มก่อการชั่วร้าย  สามารถทำการวาง
กับระเบิดชนิดนี้ไว้ได้ในหลายพื้นที่ เช่น ข้างทาง บนถนน ในพุ่มไม้ หรือในที่ๆ กองกำลังศัตรู ใช้เป็นทางผ่านอยู่
เป็นประจำ เมื่อศัตรูเข้าใกล้เป้าหมาย กลุ่มก่อการร้ายก็จะทำการจุดชนวนระเบิดทันที ความเสียหายที่ได้รับมีมาก
มาย  ถ้าเป็นกองทหารก็คงเหลือแค่เศษเล็กเศษน้อย หากเป็นยานพาหนะก็อาจทำให้เสียหายทั้งคัน รวมถึงรถถัง
ก็ไม่สามารถต้านทานได้ เพราะจุดอ่อนของรถถังก็คือ บริเวณใต้ท้องเมื่อเกิดการระเบิดก็ทำให้ได้รับความเสียหาย
อย่างหนัก


    
ภาพตัวอย่าง ระเบิดแสวงเครื่อง ที่ใช้ลูกปืนใหญ่เป็นวัตถุระเบิดหลัก


ภาพตัวอย่าง การวางระเบิดแสวงเครื่องลอบโจมตีขบวนยานยนต์






         คันนี้เป็น DPV (Desert Patrol Vehicle) ของ หน่วยซีล เม'กานาวี สุดยอดหน่วยรบพิเศษระดับโลก
ของเขา ติดอาวุธหนักครบเครื่อง ประเภทเล็กพริกขี้หนู อาวุธปราบรถถังหนัก ชนิดนัดเดียวจอด และ สอย
อากาศยานระดับต่ำ เช่น เฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินที่บินต่ำข้ามหัวได้ร่วงหมดทุกชนิดด้วย จรวดขีปนาวุธ
ชนิดประทับบ่า พื้นสู่อากาศ
,เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม. ยิงเป็นชุด และ ปืนกลหนัก M2 Browning
ชนาด.50 Cal พลประจำรถ 3 นาย มีชื่อเสียงการรบสมัย สงครามอ่าว อิรัคบุกคูเวต ปี 1991


   
   





     Posted Image

Posted Image เงินที่ซื้อลูกโป่งรั่วใบนี้ นำมาจัดซื้อ "รถบัคกี้" ตามแบบติดตั้งอาวุธพร้อมอุปกรณ์
วิทยุสื่อสาร กล้องมองกลางคืน และิื่อื่นๆได้เต็มอัตราศึก มากกว่า 500 คัน ยังเหลือ เงินสด
สั่งซื้อน้ำมันสงคราม ในราคาทุนไม่ต้องเสียภาษี เติมใส่รถรบทั้งหมด วิ่งได้ครบปีพอดี ครับ



โดย malee mala เมื่อ พุธ, 01/08/2012 - 16:00 prachatalk.com
Posted Image
malee mala .. ถ้ามอเตอร์ไซต์แบบนี้ล่ะคะ คุณ rungsira
มีความเร็วแค่ไหนและสะดวกกว่าซ้อนท้ายที่สามารถใช้อาวุธในมือได้สะดวกกว่าไหม ?



Posted Image
รุ่งศิลา .. ไม่เหมาะกับเส้นทางทุรกันดาร การบังคับขับขี่ยากทำความเร็วได้จำกัด เพราะ
การทรงตัวยึดเกาะถนนต่ำ ...  สังเกตุดูรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซต์ชาวบ้าน บ้านเราดูนะครับ
พลปืนหมุนตัวกลับทำการยิง รอบทิศทางค่อนข้างลำบาก ขาดความฉับไวในการตอบโต้
โดยเฉพาะด้านข้างซ้ายของพลปืน นั้นทำการยิงไม่ได้เลย ร่างพลขับบังวิถีและทัศนวิสัย 



    กลายเป็นความจริงเสียแล้ว ...ฺี Buggy ของ คนเขียนฝัน

 photo Clip_13_zpsc95746da.jpg

คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โชว์นวัตกรรม
ป้องกันประเทศชิ้นใหม่ ทั้งยานยนต์ลาดตระเวนจู่โจมทางยุทธวิธีขนาดเบา ที่เตรียมนำไปใช้ใน
พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  


ยานยนต์ลาดตระเวนจู่โจมทางยุทธวิธีขนาดเบา ถูกนำมาทดสอบสมรรถนะเป็นครั้งแรก และหลัง
จากนี้จะนำไปทดสอบอีกครั้ง ในสนามทดสอบค่ายธนะรัชต์  เพื่อประเมินผลการทำงาน ก่อนนำลงพื้นที่
ปฏิบัติภารกิจ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมช่วยชาติที่พัฒนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์
พลศาสตร์  เลิศประเสริฐ ร่วมกับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์  สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณ
ทหารลาดกระบัง 
โดยลักษณะของยานยนต์นี้ใช้กระจกกันกระสุน สามารถบรรทุกกำลังพลได้ 3 คน คือพลขับ ผู้ควบคุม และ
พลปืน ขนาดเคลื่อนยนต์ 1,500 ซีซี สามารถเคลื่อนด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผู้พัฒนายานยนต์ลาดตระเวน คาดว่ายานยนต์ชนิดนี้ จะเป็นที่ต้องการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เนื่องจากสามารถสนับสนุนงานได้ในหลายภารกิจ เพราะสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์
และการดูแลรักษาไม่ซับซ้อน เพราะชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ สามารถหาได้ภายในประเทศ
   
 photo Clip_14_zpsd40768a5.jpg

อ่านแบบเต็มๆพร้อมภาพประกอบ ที่นี่
http://www.konthaiuk.eu/forum/