วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ด่วนมาก.. จำเป็นต้องฆ่าทหารหรือคนเลวสัก 2-3 คน เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนนับหมื่น




 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา14.00 น.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาให้สัมภาษณ์
ถึงการกล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างตรวจเยียมค่ายทหารแห่งหนึ่งในภาคอีสานว่าเป็นเพียงเกมส์การเมืองที่ต้องการ
ลดเครดิสของตน โดยที่หนึ่งในคำกล่าวอ้างนั้น ได้ระบุไว้ว่า  " หากจำเป็นต้องฆ่าประชาชนสักหมื่นคนเพื่อ
ปกป้องสถาบัน ทหารก็จะทำ " ซึ่งหลังจากคำกล่าวอ้างนั้นได้ถูกนำเสนอ ทำให้เป็นที่วิจารณ์ในโลก Inernet
อย่างหนักสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งหลังจากตรวจสอบผู้ที่ถ่ายคลิปวิดิโอไว้ ได้พบว่า
เป็นนักข่าวของทาง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


ด่วนมาก

   “หากจำเป็นต้องฆ่าทหารหรือคนเลวสัก 2-3 คน
    เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน หมื่นคนแสนคน
                 เราก็จำเป็นจะต้องรีบทำ”

นี้คือ ภารกิจเร่งด่วน ที่ประชาชนผู้เรียกร้องความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพ
ต้องรีบชิงลงมือปฏิบัติเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ดังเช่นอดีตที่ผ่านมา


                        
                     ทุกกลุ่มทุกหน่วย ทั้งหลายของเสรีชน รับทราบและปฏิบัติด่วน
         จงรวบรวมเรี่ยไรทุนทรัพย์ของพี่น้องทุกหมู่เหล่า เพื่อสนับสนุนภารกิจนี้ โดยยิ่งยวด
                   แล้วจัดทีม เด็ดหัวมัน ก่อนที่มันจะ ลงมือกระทำต่อหมู่เรา


"หากจำเป็นจะต้องฆ่าประชาชนสักหมื่นคนเพื่อปกป้องสถาบัน...ทหารก็จะทำ"
                            .... พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ทาส)



พวกมรึงประกาศได้ พวกกูก็ประกาศได้ และทำได้เช่นกัน
                       ไอ้ทหารทรราชย์ชั่ว

มรึงจะบ้ากันหรือไง ที่คิดว่าพวกกู จะท่องนะโม พุทโธ สังโฆ
 ... แล้วแผ่เมตตา กรวดน้ำ อภัยบาปให้พวกมรึง ... ไอ้เหี้.ย


หรือ ใครจะงอมืองอตีนให้มันทำซ้ำซากแบบนี้อีก ก็เรียนเชิญ









ออกมาแอคอาร์ทโชว์ออฟโชว์พาว ก็แล้ว
ส่งทหารเลวหัวหน้า ออกมาเห่าขู่ ก็แล้ว
จัดทีมโกหก หน้าด้าน ออกมาตอแหลน่าตาย
ณ ราชประสงค์ ที่ที่มีคนตายซ้ำอีก

พวกมรึงมันอยู่เสียเวลานรกจริงๆ ดูนี่ดีกว่าของจริงตายจริงทั้งนั้น
ไม่มีสแตนด์อิน ผลงานพวกมรึงการันตี



รุมตีประชาชนและเหยียบด้วยเท้า กระทืบ กบาล ประชาชนด้วย
ภาพเหตุการณ์วันที่ 10เมย.53 แยกถนนข้าวสาร และ วันที่19พค.53 ย่านสารสิน สลายราชประสงค์

[Image: brokenhead3.gif] [Image: 40233337.gif]
ยิงประชาชนมือเปล่าสมองไหล ปฏิบัติต่อพี่น้องประชาชนอย่างเหี้ยมโหด
ภาพเหตุการณ์วันที่10 เมย.53 แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ วันที่13พค.53 ลุมพินี-บ่อนไก่


ยิงหัวประชาชนดิ้นทุรนทุราย ทรมาณก่อนจะเสียชีวิตเป็นชั่วโมง ทำไมไม่ยิงให้ตายทีเดียวเลยว๊ะ
ภาพเหตุการณ์วันที่19 พย.53 วันสลายราชประสงค์ และช่วงเย็น ที่ยิงกราดใส่พยาบาลอาสาฯ,
เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต๊กตึ้ง และประชาชน เสียชีวิต 6 ศพ ในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ใครขี่ม้าขาว หน้าตาคุ้นๆ ............. หนึ่งนรี ขี่ม้าคาว สาวโบราณ


สุขฤาทัย แดงชาด ด้วยวาดหวัง
ยิ่ง’พลัง กระแส แท้มั่นหมาย
เด่น นรี ขี่ม้าขาว สกาวพราย
พุ่งทะยาน สั่นทลาย ปฐพี

อีกนารี ผุสดี ที่ขัดข้อง
ขี่ม้าคาว ผยอง ของเสียดสี
กาบมะพร้าว ขูดฝอย ห่อราณี
ซับเดือดแดง ดุษฎี โดยโบราณ

๖ มิถุนายน ๒๕๕๔


**ปล. จริงๆแล้ว ใจอยากจะสัมผัสว่า ขูดฝอย "หอยราณี" ไม่ก็ "ห้อยโยนี" แต่เกรงจะหยาบโลนไปขอรับ


  เกร็ดลึกลับ น่ารู้

50 ปี  ที่แล้ว มีผ้าอนามัย ประเภท "นารีขี่ม้าขาว" แบบโกเต๊ก
70 ปี  ก่อนหน้า สาวไทยโบราณรุ่นคุณยาย ยังไม่มีผ้าอนามัย ใช้...
1. ใช้กระดาษ สีนวลๆ แผ่นใหญ่ พับเอา
2. ใช้ผ้าห่อขี้เถ้า
3. ใช้เศษผ้าฉีกทบกัน
100 ปี  ศตวรรษที่แล้ว สาวๆรุ่นคุณทวด นุ่งโจงกระเบน ปั่นชายให้แข็งแล้วแทงเข้าหว่างขา
เพื่อช่วยเรื่องซับเลือด (เฉพาะสาวไทยส่วนสาวจีนไม่นุ่งผ้าโจงกระเบน)

สำหรับธรรมเนียม สาวชาววัง ใช้ผ้าขาวแบบผ้าสาลู ผืนยาว ห่อใยมะพร้าวขุยอ่อนๆ ตรงหัวจุกมะพร้าว
ล้างสะอาด ตากแดด แล้วนำมาใช้โดยเหน็บชายผ้าสองข้างที่ชายพก หรือกับเข็มขัดนาค

ส่วน สาวชาวบ้าน ผู้ดี จะใช้กาบมะพร้าวมาปาดให้ได้ขนาดจำเพาะ แล้วนำมาห้อผ้าอีกชั้น โดยวิธีนุ่งคล้ายๆกัน


สาวๆยุคปัจจุบัน สะดวกสบายหายห่วง ใช้แถบกาว แปะติดได้เลย
 ... แต่เอ้อต้องใส่ อันเดอร์แวร์ ก่อนนะคร้าที่รัก  ... มิใช่พอลอกแถวกาวแล้วแปะเข้าไปเลย
     งานนี้มีอาการม้าขนหลุดนะฮ้า ... เหอ เหอ
(สาว ตจว. มาทำงานที่บ้านช่วยคุณแม่ เธอเคยทำมาแล้วจริงๆอ่ะ เวลาดึงออกร้องลั่นบ้านเร้ย)



หมอรุ่ง .. รับรองว่า ถ้าไม่แม่นไม่เอาสตังส์ จริงๆด้วยเอ้า









เชิงอรรถ

หญิงสยามกับวันนั้นของเดือน

เห็นจะเป็นคำกล่าวที่คุ้นหูกันมาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียวค่ะ
สำหรับคำกล่าวที่ว่า "เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก"
ซึ่งหากจะนำมาพูดกันในทุกวันนี้แล้ว หลายๆคนคงคิดเหมือนกันใช่มั้ยคะว่า ที่เค้ากล่าวไว้อย่างนั้น
เหตุผลหลักๆ ก็คงเป็นเพราะผู้หญิงต้องแบกรับภาระในการอุ้มท้องและเลี้ยงดูลูกนั่นเอง

แต่ในสมัยก่อนนั้น ยังมีอีกอย่างหนึ่งค่ะที่ลำบากพอๆกับการอุ้มท้องเลยทีเดียว
นั่นก็คือการจัดการกับวันนั้นของเดือนของหญิงชาวสยาม
ในสมัยที่ยังไม่มี ผ้าอนามัย ใช้ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องลำบากของแท้เลยจริงๆ

ก็เป็นที่รู้กันดีนะคะว่า หญิงชาวบ้านชาวสยามสมัยก่อน
ต้องทำงาน หาบผัก หาบน้ำ บางคนก็ทำงานพอๆกับผู้ชายเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นการมีประจำเดือนก็เลยเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของหญิงสยาม
ที่นอกจากจะต้องทนกับอาการปวดประจำเดือนแล้ว
ก็ยังต้องคอยระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหว จะมาเดินลั้ลลาเหมือนอย่างทุกวันนี้ได้ซะที่ไหนกันล่ะ



เพราะในสมัยโบราณ (ที่นานกว่าสมัยก่อน) นั้น

หญิงชาวสยามเค้าใช้กาบมะพร้าวทุบ หรือนุ่น มาซับประจำเดือน ค่ะ
โดยนำกาบมะพร้าวทุบ หรือนุ่น มาห่อด้วยผ้าให้แน่น
แล้วมัดด้วยเชือกกล้วย หรือเศษผ้ายาวๆ ผูกกับเอวเอาไว้
เหมือนเป็นการนุ่งผ้าเตี่ยวที่ซูโม่เค้านุ่งกันนั่นแหละ

หลังจากนั้น การนำกาบมะพร้าวทุบและนุ่นมาห่อ
เห็นทีจะเป็นเรื่องที่เสียเวลาและลำบากเกินไปหน่อย
หญิงชาวสยามเลยนำเพียงแค่เศษผ้ามาทบกันหลายๆชั้น
ให้หนาพอสำหรับวันมามาก มาปกติ หรือมาน้อย ก็ว่ากันไป
เสร็จแล้วก็เอามานุ่งเป็นเตี่ยวเหมือนเดิม ซึ่งพอใช้เสร็จก็นำมาซักใช้ในวันถัดไปได้
และถ้าถามว่าแล้วถ้ามันมามากจนเปื้อนขึ้นมาทำยังไง
คำตอบคือถ้าไม่มีผ้าผืนใหม่เปลี่ยนก็ต้องปล่อยให้มันเปื้อนอยู่อย่างนั้นล่ะค่ะ
อันนี้ลองไปถามคุณย่าคุณยายดูได้
วันไหนมามากจนผ้าซับไม่ไหว วันนั้นวันมหาประลัยของจริง
เพราะเลือดที่เปื้อนหว่างขาจะเหนียวและแห้งกรัง
ยิ่งใครอวบๆหน่อย เดินแล้วขาสีกัน.. โฮ่ๆๆๆ บรรลัยล่ะคราวนี้

http://www.thaiskinfilm.in.th/skinfilm/th_diaryfilm/movie_pic/moviepic_2-6.jpg

ส่วน ผ้าอนามัยสำเร็จรูปนี่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 120 ปี ก่อนนี่เองค่ะ
ซึ่งก็ถูกนำเข้ามาใช้ในสยามครั้งแรกในช่วงปลายรัชกาลที่ 6
หรือเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่ยังใช้ในหมู่ของหญิงที่มีฐานะเท่านั้น
มาใช้กันอย่าง แพร่หลายจริงๆ ก็เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน ได้ค่ะ
โดยผ้าอนามัยยี่ห้อแรก เห็นจะเป็นผ้าอนามัยแบบห่วงยี่ห้อ "โกเต๊กซ์"
และนั่นทำให้ชาวสยามเรียกผ้าอนามัยว่า "โกเต๊กซ์" นั่นเอง
(เหมือนที่เรียกผงซักฟอกว่า แฟ้บ น่ะแหละ)

และนี่คือหน้าตาของมัน



โฮ่ๆๆๆ
หลังจากมีผ้าอนามัยแบบห่วงใช้ได้ประมาณ 30 ปี
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2515 ผ้าอนามัยก็เริ่มมีวิวัฒนาการเป็นรูปแบบแถบกาวหนาเตอะ
ก่อนที่ญี่ปุ่นจะค้นพบ โพลิเมอร์เจล ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้หลายร้อยเท่า
และผ้าอนามัยก็ถูกพัฒนาให้มีความบางลง บางลงเรื่อยๆ
จนกลายเป็นบางเฉียบเพียง 1 มิลลิเมตร และมีวี่แววว่าจะเป็น 0.1 มิลลิเมตรได้ในอนาคต

ปล่อยให้ผ้าเตี่ยวกาบมะพร้าว และผ้าอนามัยแบบห่วง
กลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำของคุณย่าคุณยายต่อไป..


ขอบคุณข้อมูลจากจดหมายเหตุสยาม : http://nongza.exteen.com/20100114/entry-1


ผ้าอนามัย' มีใช้กันตั้งแต่เมื่อไร



ผ้าอนามัยเริ่มมีวางจำหน่ายตามท้องตลาดเป็นครั้งแรกในราวปี 1895 โดย ได้รับไอเดียมาจากผ้า
พันแผลที่
ทำจากเยื่อไม้ ที่นางพยาบาลใช้ซับให้แก่ผู้ป่วย บรรดาผู้ผลิตผ้าอนามัยสมัยนั้น พยายามสรรหาวัสดุ
ที่สามารถ
ดูดซับประจำเดือนของผู้หญิงได้ดี และมีราคาไม่แพงเกินไป ที่จะใช้แล้วทิ้งโดยผู้ใช้ไม่เสียดายสตังค์

ในตอนแรก มีบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยส่งสินค้าของตัวเองออกมาวางตลาดอยู่ประมาณ 2-3 เจ้า ทว่า หากนับกัน
จริงๆ แล้วดูเหมือนว่า บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยโดยตรงรายแรกของโลกน่าจะเป็น
'โกเต็กซ์' มากกว่า  เนื่องจาก
บริษัทอื่นๆ ยังคงเป็นบริษัทผลิตผ้าพันแผลอยู่ในเวลานั้น


อย่างไรก็ดีในสมัยก่อนผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งนี้ ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในหมู่สาวๆรุ่นเก่ากระเป๋าเบาทั้งหลาย
เพราะเมื่อเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายแล้ว การใช้ผ้าอนามัยที่ซักแล้วเอากลับมาใช้ใหม่ได้อีกดูจะคุ้มกว่ามากด้วยเหตุ
นี้เองจึงทำให้กว่าผ้าอนามัยจะกลายเป็นสินค้าติดตลาดได้ ต้องใช้เวลานานหลายปีดีดักทีเดียว


ส่วนคำถามที่ว่าก่อนที่จะมาเป็นผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งสาวๆสมัยก่อนเขาใช้อะไรซับประจำเดือนกันนั้นก็มีด้วย
กันหลายอย่าง แรกเริ่มเดิมทีในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหรรมก็จะมี ขนสัตว์ หญ้ามอส ฟองน้ำทะเล หรือ สาหร่าย
เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาการผลิตสิ่งทอก็เริ่มหันมาใช้เศษผ้า ผ้าดิบ หรือ ผ้าที่ใช้แล้ว นำกลับมาใช้ใหม่
ได้อีก


ปัจจุบัน ผ้าอนามัยกลายเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับสาวๆไปเสียแล้วไม่ต่างอะไรกับข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำ
วันประเภทอื่น เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน ที่ต้องหาซื้อมาใช้กัน ทำให้บรรดาผู้ผลิตพากันแข่งขันพัฒนาประสิทธิ
ภาพผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกมาวาง ตลาด ซึ่งผลประโยชน์ก็ตกอยู่ที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ นั่นเอง



วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขอเสนอแนวคิดนี้แด่ พรรคเพื่อไทย

‘Straddling Bus’

ระบบรถโดยสารยกคล่อมพื้นผิวทาง ‘สเตรดดิ้ง บัส’


ระบบการขนส่งมวลชนในเมืองขนาดใหญ่ ที่สมดุลย์และลงตัว โดยไม่ต้องใช้
งบประมาณลงทุนสูงมหาศาล  ใช้เงินลงทุนเพียง 500 ล้านหยวน (2.4 พันล้านบาท)

แถมระยะเวลาในการก่อสร้างก็สั้นกว่าเมื่อเทียบกับรถไฟใต้ดินและในระหว่างการก่อสร้าง

ก็ไม่ก่อเกิดผลกระทบกระเทือนต่อสภาพพื้นผิวการจราจรและสภาพแวดล้อมมากนัก


China building giant bus that you can drive under


จีนวางแผนที่จะสร้าง รถโดยสารขนาดยักษ์ที่ห้องโดยสารอยู่สูงคล่อมถนน รถบัสจะอยู่บน
พื้นผิวการจราจร  โดยที่การหยุดจอด รับ-ส่ง/ขึ้น-ลง ของผู้โดยสารจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพ
การจราจร 

และ การเพิ่มจำนวนของรถบัสแบบนี้ในชม.เร่งด่วน ไม่ทำให้รู้สึกถึงความแออัดยัดเยียด หรือ
ปริมาณรถ ที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนน

รถโดยสาร"สเตรดดิ้ง บัส" มีความสูง 4.5-5.5เมตร กว้าง 6เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
และพลังงานแสงอาทิตย์ ได้รับการออกแบบให้เป็นรถโดยสารที่มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นห้องโดยสาร
ส่วนชั้นล่างเปิดโล่งเพื่อให้รถยนต์ที่มีความสูงไม่เกิน 2 เมตรวิ่งลอดใต้ท้องรถได้ จึงไม่กีดขวาง
การจราจรแม้ในขณะจอดรับ-ส่งผู้โดยสาร สามารถรองรับประชาชนได้ครั้งละ 1,200-1400 คน
และวิ่งได้ด้วยความเร็ว 40-60 ก.ม./ช.ม. สามารถใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ(auto-pilot)
เพื่อให้รถวิ่งตามเส้นสีขาวที่กำหนดไว้ได้



ในส่วนของ สถานีจอดรับ-ส่งผู้โดยสาร สามารถสร้างได้ 2 แบบ คือ แบบให้ผู้โดยสารเข้า-ออก
บริเวณด้านข้างเหมือนรถไฟใต้ดิน และ แบบขึ้น-ลงทางบันไดที่อยู่ภายในตัวรถ

แนวคิดรถโดยสารที่ได้ออกแบบนี้ จะเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมสำหรับเมืองใหญ่ในประเทศจีน
โครงการนี้ได้เสนอโดย บริษัท เซินเจิ้น ฮาชิ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างโครงการนำร่องระยะทาง 186
ก.ม. ที่เขตเหมินโถวโกว ในกรุงปักกิ่งราวปลายปีนี้

เป็นไอเดียที่น่าสนใจ สำหรับเมืองใหญ่ๆ ที่มีการจราจรแออัดคับคั่ง เช่น กรุงเทพมหานคร
(เพียง 10% ของค่าก่อสร้างรถไฟใต้ดิน)

          .... ขอเสนอแนวคิดนี้แด่พรรคเพื่อไทย ด้วยครับ



สถานีจอดรับส่งผู้โดยสาร ลักษณะเดียวกับสถานีรถไฟลอยฟ้า  มี 2 แบบ
คือ สถานี เข้า-ออกรถ ด้านข้าง  และ สถานนี ขึ้น-ลงรถ ด้านบน

ทัศนียภาพมุมมองภายนอก


   ระบบเซนเซอร์เตือนภัยด้านท้ายสำหรับรถยนต์ที่ตามหลัง แจ้งเตือนความสูงเกินพิกัด 2 เมตร ห้ามลอดผ่าน


   ระบบเซนเซอร์เตือนภัย แจ้งระยะปลอดภัยสำหรับรถยนต์ที่วิ่งลอดใต้ท้องรถบัส มิให้วิ่งใกล้ล้อรถมากเกินไป
     พร้อมมีสัญญาณไฟ บอกให้รถที่วิ่งเคียงคู่อยู่ทางด้านล่าง รู้ล่วงหน้าว่ารถบัสจะวิ่งเลี้ยวไปในทิศทางใด

  ชานชาลาสถานีจอดรับส่งผู้โดยสาร ,ห้องโดยสารรถบัส และห้องพนักงานควบคุมรถ

ภายในห้องโดยสาร แสดงทางเข้าออก 2 แบบ คือ แบบให้ผู้โดยสารเข้า-ออก
บริเวณด้านข้างเหมือนรถไฟใต้ดิน และ แบบขึ้น-ลงทางบันไดที่อยู่ภายในตัวรถ

ภาพแสดง วงเลี้ยวของระบบรถ‘สเตรดดิ้ง บัส’


   เสาอุปกรณ์ส่งพลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนรถ  และเซนเซอร์ควบคุมตำแหน่งการจอดเทียบประตูชานชาลาสถานี



โปรเจค รถบัสยักษ์

อันนี้เอามาให้ชมเล่นๆกันครับ สำหรับไอเดียของคนกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว
ภาพจากการออกแบบลงพิมพ์ใน นิตยสาร
"Modern Mechanics" มิถุนายน 1930

รถบัสขนาดมหึมา มีลานบินบนชั้นดาดฟ้าหลังคา และเครื่องบินประจำ
โรงแรม 3 ชั้น รองรับผู้โดยสาร พร้อมสระว่ายน้ำ ห้องบิลเลียด ฟลอร์ลีลาส
ลิฟท์ทางขึ้น 4 ระดับชั้น เส้นทางเดินรถคือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ เอ้ย..
ระหว่าง
นิวยอร์ค-ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

โฆษณาว่า เป็นการเดินทางที่แปลกใหม่ แตกต่างจากโดยทางรถไฟ
ทั้งมีบริการเสริม สำหรับผู้โดยสารที่ ต้องการลงและนำส่งในกรณีพิเศษ
หรือรับขึ้น ระหว่างทาง นอกเส้นทางจอดรถ ด้วยเครื่องบินรับ-ส่ง

เทคโนโลยี่ในยุคสมัยนั้น น่าจะสร้างได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ จะหาถนนที่ไหน
ให้วิ่งได้ทั่วแคว้นแดนดิน เท่านั้นแหละ ผมว่า!


[ภาพ: 4eca3c63.jpg]

[ภาพ: 90940a40.jpg]