ในการย้อนรอยกลับมาของ ทรราช ด้วยการกวาดล้างที่รุนแรง
ต่อผู้ที่ขวางทางอำนาจ อย่างโหดร้ายทารุณเสมอ
นอกเหนือจากนักการเมืองฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ขบวนการประชาชนประชาธิปไตย
ก็เป็นเป้าหมายหลักที่ต้อง ถูกทำลายให้สิ้น หมดเสี้ยนหนาม และไร้พิษสง
2 ปีหลังความกระหยิ่มในชัยชนะของนิสิตนักศึกษาประชาชน เป็นบทเรียนที่ต้องนำมา
ย้อนทบทวนบาดแผลความผิดพลาดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา
พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบเสแสร้ง เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา
ปกคลุมทั่วทุกระบบ ในทางเดียวกันกลับสวนทาง กับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
ด้วยการประนีประนอมเพื่อถ่วงเวลา เสวยอำนาจครอบงำอย่างช้าช้า โดยไม่ทันให้สังเกต....
เลี้ยงไม่ให้ผอมโซ..แต่ก็จำกัดไว้ไม่ให้โตอ้วน
พลวัตร ของขบวนการประชาธิปไตยเติบใหญ่เคลื่อนไหวมากเท่าไร
พัฒนาการของ ทรราชอมาตยา ก็แนบเนียน ยิ่งยิ่งขึ้น
ต่างพวกต่างเหล่าก็ปรับปรุงตัว จากข้อผิดพลาดของตน...แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเป้าหมาย...
การช่วงชิงอำนาจไว้ในกำมืออย่างยาวนานที่สุด
โอกาสนี้ รอบ 100 ปี มีแค่ครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวเท่านั้น .....
ถ้าแพ้อีกครั้ง ก็ดิ้นรนหาหนทางรอดตัวใครตัวมันเถิด แล้วอย่าลืมบอกลากันด้วย ...
เพราะนี่คือเดิมพันครั้งสุดท้าย ของกลุ่มพลังรากหญ้าที่สะสมความพ่ายแพ้
มาโดยตลอด อย่างยาวนาน
โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
หมายความว่า จะคิดกำจัดศัตรู ปราบพวกคนพาล
ให้หมดสิ้นทีเดียวแล้ว ก็ต้องปราบให้เรียบอย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว
มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้อีก
ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่
จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ใช้ตลอดถึงการทำลายล้างคนพาลสันดานโกงต่างๆ
มันฝังรากลึกในสังคมไทย ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน
ก็คงต้องทนให้หนามมันทิ่มตำต่อไป
มีสะเก็ดประวัติศาสตร์
อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนกรุง มาเขียนให้อ่านเล่นๆไม่จริงจัง ดั่งนี้ ครับ
กล่าวย้อน
ณ.ปลายแผ่นดิน รัชสมัยกรุงธนบุรี คราวศึกอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพชราของพม่า
สมเด็จพระเจ้าตากสิน โปรดเกล้าให้
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหิมาทุกนคราระย่อเดช
นเรศราชสุริยวงศ์ องค์บาทมุลิกากร บวรรัตนปรินายก ( ทองด้วง )
ออกเป็นแม่ทัพรับศึกหนนั้น และเป็นที่มาของพระราชพงศาวดาร เรื่อง
อะแซหวุ่นกี้ ขอดูตัว
แม่ทัพฝ่ายไทย และได้ทำนายนรลักษณ์ว่าจักได้เป็น พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สืบต่อในภายภาคหน้า
โดยส่วนตัวผู้เขียน(รุ่งศิลา) วิเคราะห์ได้ในเชิงกลศึกพิชัยสงครามว่า น่าจะเป็นการใช้ จิตวิทยา
ให้แตกแยกภายในชิงอำนาจกันเอง หรือ ด้วยเป็นเพียงเรื่องแต่ง เพื่อเจิอสมกับการรัฐประหารยึดอำนาจ
พระเจ้าตากสิน
ในรัชสมัยนั้นกรุงธนบุรีสยามเข้มแข็งมาก พรั่งพร้อมด้วยแม่ทัพนายกองเหี้ยมหาญศึก
รบทัพมาอย่างฉกาจโชกโชน
และที่ค่อนข้างจะหาข้อเท็จจริงได้ยากเกี่ยวกับครานั้น
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ได้เพลี่ยงพล้ำในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ และพระเจ้าตากได้ทรงแก้กลับคืน จนได้รับชัยชนะ
ซึ่งในการนี้
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ทองด้วง) ต้องโทษทัณฑ์อาญ ในความหย่อน
ยานต่อการศึก ด้วยการโบย ซึ่งเป็นความแค้นฝังลึกในใจ อันนำมาซึ่งมูลเหตุส่วนหนึ่งต่อการ
ช่วงชิงราขสมบัติในเวลาต่อมา
ส่วน
นายบุญมา ผู้น้องชาย ภายหลังได้เป็น
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
ก็เคยต้องอาชญา โทษโบยเช่นกัน ในรัชสมัยกรุงธนบุรี
เป็นไปตามคำกล่าวชี้นำของแม่ทัพพม่าผู้ชราทุกประการ
อันรวมถึงความหมิ่นแคลนในชาติตระกูลของ
พระเจ้าตากสิน ว่าเป็นเชื้อ
เจ๊กจีน มิใช่ราชสกุล
แปดสาแหรก(แปดสายแรก) นับได้สืบเชื้อสายกันมา
และเมื่อได้คราถึงฤกษ์ สองพี่น้อง
ทองด้วง และ
บุญมา จึงร่วมกันปฏิวัติ ชิงราชบัลลังค์กรุงธนบุรี
และปราบดาภิเษก เถลิงราชสมบัติ สถาปนา
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์
อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
และได้ปฏิบัติการ
ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ล้างครัวกำจัดข้าบาทบริกา
แลขุนทหารคนสนิททั้งหลายซึ่งถวายตัวเป็นข้าใน
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สืบกระบวนการ
มาจนถึง
เจ้าฟ้าเหม็น เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ
ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ) บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มี ...
เจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม)
พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา)
พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ)
พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น
จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น
ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด
เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่ง
สมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา ฝ่าย
เจ้าพระยาอินทวงศา
อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง
ทราบว่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น
ยังเหลือไว้แต่
กรมขุนกษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น) ราชโอรสที่เกิดแต่ลูกสาวของพระยาจักรีที่ไว้ชีวิต
(แต่เมื่อรัชกาลที่1สวรรคตลง ก็มีการหาเหตุขจัดเสี้ยนหนามในที่สุด โดยตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
อ้างว่ามี
อีกาคาบข่าว มาบอกผู้มีอำนาจในเวลานั้นว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะทำกบฎ อันฟังในยุคนี้แล้วก็เป็น
ข้อหาที่ตื้นเขินสิ้นดี)
บทความนี้เป็นวิเคราะห์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งยังมิอาจหาข้อสรุปยุติได้ เป็นเพียงความเห็น
แย้งส่วนหนึ่งซึ่งนำเสนอ วิพากษ์
บทความโดย รุ่งศิลา
๔ มีนาคม ๒๕๕๑
มิได้กระหยิ่มใจหรอกครับว่า "เราชนะแล้ว"
แต่ในการยุทธนี้ เราได้เปรียบด้วยการระดมสรรพกำลังรบที่มี ความรู้แจ้งชัดเจน
และเป็นหนึ่งเดียว ... ฝ่ายศัตรูมันใช้กลยุทธแบบเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนทำซ้ำซาก
มา 4-5 ครั้ง ด้วยขุนพลตนเดิม จึงชะล่าใจว่าไร้ผู้ต่อต้าน
แต่ ณ.ยุคสมัย แห่งความเจริญของเทคโนโลยี่การสื่อสารไร้ขอบเขต การยุทธ
ของขุนพลระบบอนาลอค ที่เคยได้เปรียบในเชิงปริมาณและจำนวน จึงเริ่มถดถอย
และจะอ่อนล้าหมดแรง ถึงอาจล่มสลายไปในที่สุด
ต้องช่วงชิงความได้เปรียบนี้ ตามตีกดดัน ให้แตกพ่ายไปเป็นส่วนๆ ก่อนที่ ศัตรู
จะระดมสรรพกำลังทุกองคาพยพ พลิกปรับตัวเข้าช่วงชิงใช้เทคโนโลยี่เดียวกัน
ตีตอบโต้ ... เพราะด้วยกำลังทรัพยากร และจำนวนคนบ้าคลั่งระบอบทรราชนั้น
พวกเขาสามารถ นำเอาเทคโนโลยี่ที่สร้างสรรค์ความเจริญแก่ผู้คน ให้กลับมาใช้
ทำลายล้างได้อย่างเอนกอนันต์
.