วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ประเทศชิบหายวายป่วงเพราะช่วยชาวนา ... ก็ให้มันชิบหายไป

*** ขอยืมเขามาจาก FB ของท่านไหน ขอขอบคุณท่านนั้นครับ

  เห็นคนจนลืมตาอ้าปาก คนบางพวกมันทนไม่ได้ .. ไล่ฟัดเรื่อง จำนำข้าว
  • หม่อมอุ๋ย ไปฟ้อง สตง
  • อาจารย์นิด้า ล่าชื่อ ล้มรับจำนำข้าว
  • ดิศนัดดา (เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ) ไปอัดในวงเสวนาออกสื่อ
  • TDRI เล่นเรื่องทุจริต
  • ปปช ขอผลวิจัย TDRI เดินหน้าเชือด "จำนำข้าวเจ๊งแสนล้าน"
อีกพวกก็เตรียมไปฟ้อง ศาลรัฐธรรมนูญ
เอากะพวกมัน  ....... เครดิตคุณeasyboy บ้านราษฎร์
 
อีกกี่วันที่ ชาวนาทั่วประเทศ จะระดมพล
ขี่รถอีแต๋น รถอีตู่ รถเกี่ยวข้าว เข้ามา กทม. เหนือ ใต้ อิสาน ตะวันออก ตะวันตก
มาแสดงพลัง สนับสนุน นโยบายข้าวของรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์
  ตบปาก ฉีกหน้า ทรราช และลิ่วล้อ นักวิชากวน'ส้นตรีน
  TDRI = To Do Right Idiot และ NIDA = New IDiot Attitute

Posted Image
    สส. แกนนำ ทั้งหลาย มัวทำส้นตรีน อะไรกันอยู่ครับ .... หัดรุกทางมวลชน กับเขาบ้างสิ โอกาสมาแล้ว
Posted Image
เขาล้มรัฐบาลประชาชนมา 2-3 ครั้งแล้ว จนหล่นจากเก้าอี้
ได้แต่นั่งอมสากเบือ บ่น ปลุกม๊อบ ตอดเล็กตอดน้อยไปมื้อมื้อ
บั ก ค ว า ย ตู้
   รุ่งศิลา ขอดิบดิบซักวันพี่น้อง
Posted Image

Posted Image
แกนนำแดงห่อเหี่ยวทั้งแผ่นดิน
:down:
ปล. งานนี้ระดมกันมา เที่ยว กทม. ร้องเพลงเล่นคอนเสิร์ท กินข้าวฟรี กันซือๆ ก้อด้าย
ไม่ต้องมีมวลชนต้องมาเสี่ยง โดนยิงพุงแตก หัวกระจาย เสียที่ไหนเล่า
 จะไม่แซว เรื่องแกนนำชอบร้องเพลง ซ๊าก กะ คำ
ไม่ต้องมากันเป็น ล้าน ร๊อก ซัก แสนเดียว ทั้งคนทั้งรถ กินนอนนั่งเล่นกัน2วันก็พอ แร้ว

        สโลแกน ....... แหล่มม๊ะพี่น้อง ว่า

" ชาวนาทั้งแผ่นดินสนับสนุน นโยบายข้าว นายก'ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลประชาธิปไตย
ต่อต้านรัฐบาลตัวแทนทรราช จาก รัฐประหาร 
 
.

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

อรชุน และ อรชร นำ อาวุธสงคราม เข้ามาทำไม ทั้งที่มีสั่งสมกันเหลือเฟือ

     

นักสังเกตการณ์ทั้งหลาย ต่างออกมาตีความหาความหมายกันอย่าง
เอาเป็นเอาตายหน้าดำคร่ำเครียด กับปรากฏการเดินสายให้โอวาท
อีกครั้ง ของ ป๊ะป๋าหงอก' หอกสี่เสา

ผู้ที่ถอกออกมาแต่ละครั้งต้องได้น้ำได้เนื้อนาบุญแห่งความดี แสดงโอวาทความมีบุญคุณของ
แผ่นดินพ่อ แผ่นดินแม่ท่าน(มัน)เสมอ เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีคุณความ ดีเสมอ..หู  เป็นผู้
ประพฤติชอบ ปฎิบัติ ดีชนิดไม่เคย..ห่างเหิน แลแต่ละก้าวเดินของลักกบุรุษเฒ่า ผู้ไม่เคยห่างหำ



เกมส์แย่งชิงเก้าอี้ตัวโตในประเทศ ครั้งสำคัญ เดิมพันกันด้วยอนาคต ตำแหน่งหน้าที่
คงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่อลังการ์ อำนาจบารมี ของลิ่วล้อสมุนบริวาร ทั้งสองฝ่าย   ....
รุกนำก่อนโดย อ้ายหงอกยอดขันทีหัวขบวน ก่อนที่พลังอำนาจทางการอาวุธ จะถูก
ลดทอนลงมากกว่าที่มี ..... ตามมาติดๆด้วย อ้ายหอกโพกผ้าเหลือง บวก อ้ายหงอก
ผีดิบสันติตาโปด, แหกปากส่งสำเนียงด่านำจากลูกแถว คนอัปรีย์ สีกบาลล้านเลี่ยน
ค.อ.ป. ,และ ทาสาทาสีขี้ข้า ทาสที่ปล่อยไม่ไป กลุ่มลักของหลวงห่วงคนล้างผลาญ

                                            

สายข่าวลับ ล่าสุด ให้ข้อมูลมาถึงการลำเลียงอาวุธสงครามจำนวนมาก เข้ามาทางตะเข็บชายแดนทางเหนือ
และทางตะวันตก มากว่าหลายเดือนแล้ว ของฝ่ายหนึ่งซึ่งประสงค์อยากจะขี่ม้าขาวเสียเต็มประดา หลังจาก
พลาดท่าหล่นหลังลา ให้นายกสาวคนแรกของประวัติศาสตร์ประเทศ ควบตัดหน้าไปชนิดขอบตาร้อนผ่าว
ผิดแผนโฆษณาชวนเชื่อ"นารีขี่ม้าเขียว มาทำเสียวบนแผ่นดิน" ที่ซุ่มทำการตลาดมาก่อนหน้าหลายปี

กับอีกฝ่าย ที่มีอำนาจรัฐของนายกพี่น้อง สนับสนุนตามกฏหมาย ด้วยสายสัมพันธ์ฉันมิตรผู้มีอุปการคุณ
อาวุธสงครามประดามี จึงหลั่งไหลเข้ามาทางชายแดนทิศตะวันออก มากเท่าที่ต้องการทุกเวลา ประเดิม
ล๊อตแรก 4 ตู้คอนเทนเนอร์(ลับ)

ไม่นับรวมกับกำลังพลในเครื่องแบบทั้ง ทหาร-ตำรวจ และพลเรืยนมหาดไทย ที่มีกฏหมายรองรับการใช้
อาวุธที่นายใหญ่ทั้งสองฝ่าย แบ่งแย่งกันครอบงำสั่งการ สับสนอลหม่านกันไปหมดทั่วทุกกรมกองกระทรวง

     มีผู้เสนอความเห็นแย้ง ถึงเหตุผล การนำเข้า'อาวุธสงคราม' มาทำไม
      ทั้งที่ในกองทัพ และกองกำลังบังคับบัญชาส่วนตัว ก็มีเกินพอแล้ว

จากข่าวคราวล่าสุดถึงการ แอคชั่นเอ็กเซอร์ไซซ้อมรบในเมือง โดยกองอารักขาส่วนตัว พลรบระดับกองพล
ทหารราบรบพิเศษ เต็มอัตรา จำนวนกว่า 10,000 นาย กลางพระมหานคร ของเจ้านายใหญ่ฝ่ายมีกฏหมาย
รองรับ แสดงแสนยานุภาพ ขยับยึดเมือง ข่มขวัญบารมี นายใหญ่ของอีกฝ่าย

         
                                        การข่มขืนประเทศแม่

ผู้สันทัดกรณี ได้วิเคราะห์ให้เห็นเหตุ ของการต้องมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองนอกสารบบกองทัพ และ
ติดอาวุธให้แก่พลรบสแตนด์บายพร้อมปฏิบัติการ24ชม.ทุกสถานการณ์ที่มีคำสั่งให้ออกชองทั้งสองพวกฝ่าย
โดยมิอาจไว้เนื้อเชื่อใจ บรรดาขุนพลผู้กุมอำนาจทั้ง 3 เหล่ารบ ว่าจะจงรักภักดียอมรับคำสั่งการยึดเก้าอี้แต่
โดยดี ทันการทันทีที่มีโอกาสหรือไม่ ... ด้วยข้ออ้างติดขัดผิดระเบียบราชการและกฏหมาย ในการเบิกจ่าย
นำอาวุธสงครามจำนวนมาก ในคลังอาุวุธของทุกเหล่าทัพ มาทำไม เพื่อการใด จำเป็นหรือไม่ ?

... เป็นความเสี่ยงต่อการปิดลับ มิให้ข่าวแพร่งพรายเข้าหูสื่อมวลชน และความอ่อนไหวต่อกระแสการต่อต้าน
ของประชาชน ในกรณีปฏิวัติรัฐประหาร อีกแล้วครับท่าน

ข่าวร้าย ที่ตามมา ต่อกองกำลังฝ่ายตรงกันข้าม ให้ทราบไว้แต่เนิ่นๆก็คือ หากนำรถถัง รถเกราะ รถรบทั้งหลาย
ออกมาหมายจะบดขยี้คู่ต่อสู้ ก็จะเป็นเป้าลองซ้อมมืิอของ จรวดขีปนาวุธต่อสู้รถถังหนัก แบบตุ๊มเดียวจอด
ไฟลุกท่วมคัน ... ไม่ก็ ขีปนาวุธนำวิถีชนิดประทับบ่ายิง พื้นสู่อากาศ ไว้สอยฝูงบินรบทั้งหลาย ไม่เว้น ฮ.
ที่บังอาจบินข้ามหัวข้ามหูน่ารำคาญ

                  


                  จงรบกันเถิด อรชุน และ อรชร
            ให้มันวิบัติฉิบหาย รู้ดีรู้ชั่ว ตายโหงตายห่ากันไปข้าง
ฤา จักตายเห.ี้ยนกันทั้งสองข้าง ก็เป็นคุณานุปการแก่ชาติและปวงชน
        มิต้องห่วงหาอาวรณ์ว่า ขาด .. แล้วจักสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
           ประชาชนทั้งสิ้นจักปกป้ักษ์รักษา บ้านนี้เมืองนี้ไว้เอง
   จงตายอย่างหลับตาเถิด ชื่อของเจ้าจักถูกจารึกไว้นานเท่านาน
           ทรราช ผู้มีสินธุรกรรมเหลือคะเน เจ้าบุญเจ้าคุณประเทศ

                             บทความนั่งเทียนที่มิน่าเชื่อถือ โดย : รุ่งศิลา

.

อ้ายอีตนใดที่มันหมิ่นนายหลวงจงฟัง กู

ปณิธานจากนายกอง ถึงไอ้เนรคุณแผ่นดิน มึงอย่าได้ใช้แผ่นดินร่วมกับกู


ทาสที่ยังปล่อยไม่ไป ไปไหนไม่เป็น ไม่เห็นหนทางเสรีชน

... ปล.ถ้ายึดถือตามธรรมเนียมโบราณกาล ทาสคู่ใจ หรือ นายทหารราชวัลลภคู่บารมี นี่ต้องถือกฎตายตามนาย ไปด้วย คือ นายตายก็ต้องฆ่าตัวตายตามกันไปรับใช้ใกล้ชิด จิตวิญาณลอยตามละอองฝุ่นใต้ตีนไปติดๆ
... อ้ายนายกองเอ็งจงตระเตรียมตนไว้ให้พร้อมมูลเถิดเกือบจวนเพลาแล้ว


ตำแหน่ง นายกองสยาม นี่ คงเทียบได้ตำแหน่ง นายพัน บังคับกองทหารระดับ กองพันรบ คุมไพร่เลวประมาณ 600-1,000 นาย
[4 กองร้อย (Company) เป็น 1 กองพัน (1 กองพัน = 704 นาย)]

เปลี่ยนชื่อจาก สยาม เป็น ไทย ในสมัยรัชกาลที่8 ปี พ.ศ.2482 หรือ ค.ศ.1939 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง


                                         การยกเลิกระบบทาส

ฉันนั้น ข้อเขียนนี่ก็ ต้องอยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ช่วงที่ยังเป็นประเทศสยาม มิใช่ปัจจุบัน
ปรัชญาความเชื่อมั่นดัง ข้อความข้างต้น จึงเป็นเรื่องปกติ ของยุคสมัยนั้น


ทว่าหากหมายถึงในยุคสมัยปัจจุบัน นับแต่การเปลี่ยงแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ ล้มล้างระบอบกษัตริย์
ถึงปี พศ.๒๕๕๕ นี้ ก็นับได้ว่า ขาดความรู้และล้าหลังตกยุคสมัย เป็นจินตนาการความบ้าคลั่ง ลัทธินิยมเจ้าเฝ้า
หมอบคลาน ยอบกายเพื่อให้ได้สัมผัสกับละอองฝุ่น อันปลิวมาแต่ฝ่าตีน ดุจดั่งเดียรัจฉานอันมีท่อนกายขนานกับ
พื้นผิวโลก


         ซึ่งนับได้ว่า พวกมึงมันบ้าฉิบหาย มีความคิดอ่าน
        อันเชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นอย่างสูง

        สมควรที่รัฐไทย จักได้เตรียมการรับมือกับผู้ที่มีความคิดเป็น
        ภัยอันตรายร้ายแรงกับรัฐธรรมนูญของประเทศนี้


       

                          เชิงอรรถ การจัดกองทหารสมัยใหม่
                       1 หมู่ มี 11 นาย (ต่างประเทศบางแห่งอาจจัด 7-8 นาย)
                       4 หมู่ (Section) เป็น 1 หมวด (1 หมวด = 44 นาย) (บางแห่งอาจจัด 2-4 หมู่)
                       4 หมวด (Platoon) เป็น 1 กองร้อย (1 กองร้อย = 176 นาย)
                       4 กองร้อย (Company) เป็น 1 กองพัน (1 กองพัน = 704 นาย)
                       4 กองพัน (Battalion) เป็น 1 กรม (1 กรม = 2,186 นาย)
                       4 กรม (Regiment) เป็น 1 กองพล (1 กองพล = 11,264 นาย)
                       4 กองพล (Division) เป็น 1 กองทัพภาค (1 กองทัพภาค = 45,056 นาย) (Field army)


                             นำภาำพ'ปณิธานจากนายกอง'มาจากเฟซบุค อินเตอร์เนต

.

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

"กระบือร่ำไห้ ด้วยว่า พยัคฆาจักวาย สุกรอาลัย เป็นห่วง ฅนเชือด"

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข


ระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข


ใน อาณาจักรของคนตาบอด ทั้งชายหญิงและเด็ก คนตาบอดข้างเดียวจึงได้เป็นราชา
ขณะที่รัฐอันปกครองด้วย
ระบอบชราธิปไตย จึงมีชายชราเป็นพระราชา แวดล้อมด้วย
อำมาตย์,มุขมนตรี ล้วนแก่เฒ่าชราภาพ

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตย จึงมีความเป็นไปดังคำอธิบาย
ไว้เบื้องต้น การว่าราชการของราชาเนตรเดียวผู้ชรา และเหล่าผู้เฒ่าเสนาบดีตาบอด จึงเป็นไปโดยหรี่สลัวทึมเทา
การขับเคลื่อนของระบบราชการเมืองตาบอด จึงเชื่องช้ายืดยาด ตามประสาระบบแห่งไม้เท้านำทางและมีหมานำ


    

ความเป็นอยู่ของประชาบอดไพร่ฟ้า จึงจ่มเจียม เนิบนาบ พออยู่พอกิน มิฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
การอันใดที่
แปลกใหม่ ความคิดเห็นที่ผิดแผก จึงเป็นความผิดวิปลาสและจักต้องโทษทัณฑ์กบิลเมือง ด้วย
เหตุเพราะ
คนที่ตามองเห็นเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งความจริง ไฉนเลยไพร่ผู้ตามืดบอดทั้งสองข้าง จึงจักสู่รู้อวดดี
กว่า
พระราชาตาเดียวผู้เปรื่องปราชญ์อัจฉริยะ ทัณฑ์ที่ได้รับจึงสมควรแก่เหตุ

ธรรมเนียมจารีต  ที่ได้ตรากำหนด ยึดถือกันว่า

" หากแม้นมีทารกไม่ว่าชายหรือหญิง เกิดมาพร้อมดวงตาสดใสไม่มืดบอด นางตำแยผู้ทำคลอด
นั้น ต้องกำจัดทารกที่อาจเป็นภัยในภายภาคหน้านั้นเสีย แม้นว่ารู้เห็นเป็นใจให้เด็กนั้นมีชีวิตรอด
ปลอดภัย นางตำแยผู้นั้น และบิดา-มารดาของทารก จักต้องได้รับโทษถึงแก่ชีวิต"

... เหมือนดังฟาโรห์ผู้เxี้ยมโหดที่สุดในบรรดาฟาโรห์ของอาณาจักรอิยิปต์โบราณ ที่ได้สั่งทหารให้ฆ่าทารก
เพศชายชาวยิวทุกคน ที่เกิดในแผ่นดินของเขา ด้วยเห็นว่าคนยิวมีมากเกินไป และอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง
ของอาณาจักรในภายภาคหน้า .. อันนี้คงคล้ายคลึงกับหน้าที่ของหน่วยงาน "กองรักษาความมั่นคงภายใน"
ของ ประเทศคนตาบอด (เชิงอรรถ)


ความสมมะถะ ในการดำรงชีวิตของพลเมืองบอด คือ ปรัชญาอมมะตะ "เพียงพอแลนุ่งห่มเจียม" นั้น
เป็นนโยบายสูงส่งที่ประชาชนพึงยึดไว้เป็นความสุขสูงสุดของชีวิต นับเป็นวาสนาบุญคุณหาที่สุดมิได้ ที่ได้
เกิดมาบนผืนแผ่นดินของ บิดาผู้อัจฉริยะ' ปะป๊าแมคไกวเว่อร์

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุดบนแผ่นดินบอด คือ เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงเท่านั้น เช่น เครื่องรับวิทยุ
ชนิดให้ฟังอย่างเดียว,คำบอกเล่าปากต่อปากและเสียงลือเสียงเล่าอ้าง รวมทั้งคำประกาศต่างๆสลับกับเสียง
เพลงมาร์ชกองทหาร ... ฉันนั้น สินค้านำสื่อสารประเภทมีภาพ ทั้งนิ่งและเคลื่อนไหว จึงไร้สาระ ขายไม่ได้
เป็นสิ่งต้องควบคุม ทั้งตัวเครื่องเช่น โทรทัศน์อัจฉริยะ โทรศัพท์มีภาพ และระบบนำสารแบบเฉียบคมฉับไว
อาทิ สามจี สี่ที ห้ามี ทั้งหลาย ถือเป็นยุทธปัจจัย ห้ามประชาตาบอดมีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต
อีกประการหนึ่ง

"ถึงมีไว้ก็ใช้ประโยชน์ทางจักษุทัศน์ มองดูหาได้ไม่ ใช่ไหมปวงประชาตาบอดทั้งหลาย เชื่อเราเถิด
เพราะท่านทั้งหลาย ต้องมองให้ดีดีจึงจะเห็นว่าดี หากท่านมองไม่ดีท่านจะได้ชื่อว่ามองไม่ดี ทางที่
ดีท่านอย่ามองดีกว่า เพราะเราฟังแล้วเราไม่ชอบมากมาก"
พระราโชวาทของ คิงบอดยอดอัจฉริยะ
ให้ไว้ ณ วันที่นั้น เวลานู้น เนื่องในการออกแขกงานยี่เก


  จึงเกิด "ขบวนการตาสว่าง ปลดแอกการปกครองระบอบชราธิปไตยอันมีพระราชาเป็นประมุข"
  ที่มีเพลงปลุกใจให้ลุกขึ้น ดังว่า

"จงตื่นเถิดวัวควาย อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองมั่นคงก็เพราะเราทั้งหลาย"

กาขาว' เนื้อแท้เหล่าสู สามัญ