บทกลอนเกี่ยวเนื่อง ด้วย กรมหลวงราชบุรีฯ ที่มีบางตอนว่า...
เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก............เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ
ประวัติคร่าวๆ ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย พระองค์ทรงมี
พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นโอรสองค์ที่ 14 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ เจ้าจอมมารดาตลับ ประสูติเมื่อวัน ที่ 21 ตุลาคม 2417 ทรงเป็นต้นราชสกุล รพีพัฒน์
ทรงประกอบพระกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อวงการกฎหมายไทยและ ศาลสถิตยุติธรรม อาทิทรงดำรง
ตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ทรงจัดการปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ จัดตั้งศาลมณฑลและศาลจังหวัด
ทั่วประเทศ ทรงเป็น ประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมาย ประมวลขึ้นเป็นกฎหมายอาญาฉบับ ร.ศ. 127 ทรง ตั้งโรง
เรียนกฎหมายเพื่อเปิดการสอนกฎหมาย ทรงรวบรวมและแต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆมากมาย และทรง
สอนวิชากฎหมายด้วยพระองค์เอง ทรงเป็น กรรมการตรวจตัดสินความฎีกาซึ่งเทียบได้กับศาลฎีกาในปัจจุบัน เป็นต้น
สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2463 พระชนมายุ 47 พรรษา จากอาการประชวร ด้วยพระวัณโรคที่พระวักกะ ขณะ
รักษาพระองค์อยู่ที่กรุงปารีส และบรรดานัก กฎหมายได้กำหนดให้วันที่ 7 สิงหาคมของทุกปี เป็น " วันรพี "
ส่วนหนึ่งคำกลอนที่เป็น วรรคทอง ประจำใจนักกฏหมายไทยทั่วไป มาจากหนังสือตีพิมพ์
" เอ็งกินเหล้า เมายา ไม่ว่าหรอก
แต่อย่าออก นอกทางไป ให้เสียผล
จงอย่ากิน สินบาท คาดสินบน
เรามันชน ชั้นปัญญา ตุลาการ " โดย ลุงเวทย์ เพิ่มบุญ เปลี่ยนภู่
ที่มาของบทกลอนนี้มีเรื่องเล่าว่า กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงพิถีพิถันเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นผู้พิพากษา
เป็นอันมาก โดยพระองค์ทรงถือ ว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มคนในแวดวงตุลาการ ไม่ว่าจะ เป็นนัก
การศาลยุติธรรม หรือนักกฎหมาย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการเลี้ยงข้าวแช่ในพระบรม
มหาราชวัง และได้ทรงพระบรมราชานุญาตให้ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ นำนักเรียนกฎหมายเข้าเฝ้าฯด้วย ณ ที่นั้น
ได้ทรงมี พระราชกระแสดำรัสว่า "รพี พ่อได้ยินว่าผู้พิพากษากินเหล้ามากใช่ไหม ทำไมรพีจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น"
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วกราบบังคมทูลว่า
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าฯ ในเวลาที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเลือกผู้พิพากษาก็ดี เลื่อนชั้นผู้พิพากษาก็ดี ข้าพระพุทธเจ้า
ถือหลักในใจอยู่เพียงสองข้อคือ ต้องมีสติปัญญาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดอย่างหนึ่ง และต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตอีก
อย่างหนึ่ง พูดสั้นๆ ต้องฉลาดและต้องไม่โกง ถ้าโง่ก็ไม่ทันคน อื่น โจทก์ จำเลย จะต้มเอาได้ ทำให้เสียความยุติธรรม
แต่ถ้าฉลาดแล้วโกงก็ทำ เสียความยุติธรรมอีกเหมือนกันจะซ้ำร้ายยิ่งกันไปใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ ไปสอบสวนหรือ
เอาใจใส่กิจธุระส่วนตัวของผู้พิพากษาแต่ละคน ใครจะกินเหล้า เที่ยวเตร่อย่างไร นอกเหนืออำนาจเสนาบดีจะบังคับ"
กลอน : ลำนำเลือด " เอ็งกินเหล้า เมายา ไม่ว่าหรอก "
แต่งโดย : เพิ่มบุญ (เสริมศักดิ์) เปลี่ยนภู่ (นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,เนติบัณฑิตไทย)
นามปากกา : เวทย์
หนังสือชื่อ : ข้างกองไฟ ( สำนักพิมพ์พรศิวะ, กรุงเทพฯ.พิมพ์ครั้งแรก 2547 . 116 หน้า)
ลำนำเลือด(นักกฎหมาย) โดย ลุงเวทย์ เพิ่มบุญ เปลี่ยนภู่
(๑)
มีเรื่องราวเลวร้ายอยู่หลายหลาก
ซ่อนหลังฉากลวงตาน่าเลื่อมใส
บนเส้นทางยุติธรรมงำเลศนัย
แฝงพิษภัยสารพัดของสัตว์คน
เมื่อกระบวนพิจารณาอันน่าเบื่อ
ถูกใช้เพื่อปรุงแต่งแปลงเหตุผล
พร้อมพร้อมกับนักกฎหมายร้ายเล่ห์กล
ได้ขายตนอย่างอุบาทว์เป็นทาสเงิน
ใช้กฎหมายกลายบทมุ่งกดขี่
สร้างอัปรีย์จนเปรอะไม่เคอะเขิน
จนกฎหมายหลายฉบับฉีกยับเยิน
หลังถูกเมินคุณค่าถูกท้าทาย
บริสุทธิ์ยุติธรรมถูกย่ำเหยียบ
แบบระเบียบบิดเบือนเลือนจุดหมาย
ฉุดความหวังสังคมล้มละลาย
ขื่อแปกลายย้อนกลับทับผู้คน
กูนี่แหละกำลังจะฉีกกระชาก
ถอดหน้ากากกำมะลอพวกฉ้อฉล
ให้แจ่มแจ้งประจักษ์ตามหาชน
ให้ตื่นตนต่อสู้กู้สิทธิ์คืน
หนึ่งชีวิตหนึ่งฝันบัณฑิตหนึ่ง
ได้รู้ซึ้งรู้สึกสะอึกสะอื้น
กี่คนยากถูกย่ำทุกข์กล้ำกลืน
กี่ขมขื่นคนดีถูกบีฑา
มันเกินที่ทนดูแล้วอยู่นิ่ง
ให้เห็นจริงจะแจ้งแจงปัญหา
ถึงคราวต้องดีเดือดเลือดเข้าตา
เอาชีวาทดแทนคุณแผ่นดิน
(๒)
ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้บันทึก
ความรู้สึกอดสูมิรู้สิ้น
ครั้งพระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดิน
ต่างด้าวหมิ่นอธิปไตยของไทยเรา
ว่าศาลไทยไร้หลักจักเชื่อถือ
ต้องเอื้อมมือมาคุ้มครองคนของเขา
แค่สายเลือดชาวฝรั่งยังทำเนา
แต่เล่นเหมาทุกชาติเชื้อเหลือวุ่นวาย
ขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
โดยอ้างเหตุบกพร่องของกฎหมาย
ว่าเปิดทางอยุติธรรมมากล้ำกราย
คือฝันร้ายยุคล่าอาณานิคม
ด้วยเดชะพระปรีชามหาราช
ทรงนำชาติพัฒนาสง่าสม
ตรากฎหมายเมืองสยามตามนิยม
คลี่คลายปมปัญหาอย่างถาวร
กระบวนการยุติธรรมสำคัญไฉน
ความเป็นไปที่ผ่านมาอุทาหรณ์
เฉกหลักค้ำสำคัญหากสั่นคลอน
จะเดือดร้อนกลีรุมราวสุมไฟ
เหลิงอำนาจอาจนำขาดสำนึก
ถลำลึกลงเหวความเหลวไหล
ละหลักการกฎเกณฑ์ควรเป็นไป
อำเภอใจทุจริตก่อพิษพาล
บริสุทธิ์ยุติธรรมนำทางชอบ
คือระบอบบำบัดทุกข์สร้างสุขศานต์
ยิ่งโลกาภิวัตน์ชัชวาล
ขื่อแปบ้านยิ่งสำคัญต้องมั่นคง
เพื่อชาติไทยเทียมหน้าอารยชาติ
ประวัติศาสตร์ย้ำเตือนอย่าเลือนหลง
ต้องเอาความชอบธรรมนำจำนง
ต้องยืนยงยุติธรรมค้ำสิทธิ์ชน
(๓)
จากจารีตนครบาลกาลกระโน้น
ค่อยอ่อนโอนเนื่องนำอำนวยผล
กฎหมายไทยพัฒนาเป็นสากล
อนุสนธิ์งานทรงองค์รพี
ตั้งพระทัยแน่วแน่แก้ปัญหา
พระปรีชาเชิงปราชญ์วาดวิถี
หนึ่งคือการกำหนดกฎหมายดี
สองต้องมีตุลาการพิจารผจง
เพราะแม้กฎตีกรอบดีชอบแล้ว
คนแหวกแนวแชเชือนเลอะเลือนหลง
ก็วุ่นวายเวียนวกเข้ารกพง
ลาญจำนงจนวินาศอนาถใจ
นอกจากทรงอุตสาหะชำระบท
ยังกำหนดแนวแบบยลแยบให้
สร้างวิถียุติธรรมอันอำไพ
มุ่งพระทัยพัฒนาตุลาการ
โดยพระทรงดำรงตนเป็นต้นแบบ
การุณย์แทบพระบาทไท้แผ่ไพศาล
พระดำรัสสูงส่งทรงประทาน
ก้องกังวานอยู่ในหัวใจคน
“ เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก
แต่อย่าออกนอกทางไปให้เสียผล
จงอย่ากินสินบาทคาดสินบน
เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ ” เพิ่มบุญ เปลี่ยนภู่ ผู้แต่ง
พระบิดาแห่งกฎหมายไทยชูเชิด
พระเกียรติเทิดสถิตฟ้าทั่วหล้าขาน
ยิ่งสืบผลแห่งพระปณิธาน
เป็นรากฐานยุติธรรมค้ำแดนไทย
รอยพระบาทยาตรนำธำรงค่า
ยั่งยืนกว่ากัปกัลป์บันดาลไสว
พระดำรัสคติธรรมจำขึ้นใจ
เป็นผู้ให้ สมถะ สละตน
นักกฎหมายส่วนหนึ่งคำนึงแน่ว
ยึดเป็นแนวปณิธานสืบสานผล
รพีพัฒนศักดิ์สลักกมล
คอยช่วยดลยุติธรรมชี้นำทาง
(๔)
จากบันทึกบนบรรทัดประวัติศาสตร์
เราสามารถย้อนมองเห็นช่องว่าง
ความเปลี่ยนแปรเป็นไปไร้กรอบวาง
จึงระหว่างวิวัฒน์วิบัติเบียน
โดยพื้นฐานคนไทยไม่ยึดหลัก
แต่ชอบจักคอยตะแบงดัดแปลงเปลี่ยน
กี่แผนบทกำหนดแน่วแนวจำเนียร
ผลผิดเพี้ยนเพราะผู้นอกลู่ทาง
ต้องมีคนกวดขันหมั่นกำกับ
คอยบังคับบัญชาอย่าเว้นว่าง
หากโอนอ่อนผ่อนปรนผลอับปาง
อย่าเหินห่างเผลอให้อยู่ไกลตา
เพราะทำได้ตามใจคือไทยแท้
คำเก่าแก่ที่นับวันสร้างปัญหา
คนในชาติขาดวินัยแต่ไรมา
จนลูบหน้าปะจมูกไม่ถูกควร
บ้างไม่ยอมหยิกเล็บกลัวเจ็บเนื้อ
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าพาผันผวน
แถมผักชีโรยหน้ามาเป็นพรวน
ลืมทบทวนผิดถูกปลูกฝังกัน
ยลเยี่ยงศรีธนญชัยใช้ประพฤติ
กลับหลงยึดเอาอย่างไม่สร้างสรรค์
บางคนเปลี่ยนจุดหมายเป็นรายวัน
เห่อแฟชั่นตามกระแสปรวนแปรนัก
หลังวัตถุนิยมผูกปมเงื่อน
ยิ่งบิดเบือนสังคมจนจมปลัก
ศีลธรรมรำไรไร้รูปลักษณ์
ก็ถูกผลักเสือกไสจากใจคน
ค่าของคนคำนวณนับจากทรัพย์สิน
ย่อมสูญสิ้นอุดมการณ์พาลสับสน
จึงพลิกผันบางผู้วิญญูชน
เลือกลดตนใฝ่ต่ำยอมทำเลว
ถึงยุคที่ศรัทธาบนบ่าแบก
กลายเป็นแอกหนักอึ้งดึงลงเหว
ฝันเหมือนไฟสิ้นเชื้อไม่เหลือเปลว
ความล้มเหลวหลากล้นท่วมคนดี
ความคดโกงโยงใยแผ่ไปทั่ว
คนโฉดชั่วเชิดหน้าอวดราศี
สร้างระบบอุปถัมภ์ค้ำอัปรีย์
เป็นผู้มีอภิสิทธิ์อิทธิพล
เจ็ดสิบปีเป็นไปใต้วิกฤต
โดยลืมคิดสังเกตตรองเหตุผล
แย่งอำนาจอธิปไตยให้ปวงชน
แต่กี่คนผูกขาดอำนาจครอง
กลายเป็นว่ายถากรรมนำทางชาติ
ประชาราษฎร์ยากไร้อกไหม้หมอง
กี่คนเคยเสวยสวรรค์อันเรืองรอง
กี่คนต้องทุกข์อนาถแทบขาดใจ
กี่เลือกตั้งปฏิวัติรัฐประหาร
ยิ่งดักดานย่ำแย่ยากแก้ไข
แค่อำนาจหมุนเวียนเปลี่ยนมือไป
เพื่อถูกใช้สร้างโอกาสโกงชาติกิน
บนเส้นทางพัฒนาน่าสมเพช
นำประเทศทุกข์ทวีเพิ่มหนี้สิน
ความฟุ้งเฟ้อฝังตัวทั่วแผ่นดิน
คนเสื่อมสิ้นศีลธรรมประจำใจ
ปัญหาหนักหมักหมมสังคมทรุด
ต้องรีบหยุดวิกฤตคิดแก้ไข
คนดีต้องรวมตัวอย่ากลัวภัย
กอบกู้ไทยสู่วิถีที่ถูกควร
(๕)
กับการมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์
ย่อมมีหลักยึดมั่นยากผันผวน
แค่ตีความตามคำตรงสำนวน
อย่าแปรปรวนเบนเบี่ยงเลี่ยงบาลี
ยืนหยัดอย่างยืดหยุ่นดุลพินิจ
สุจริตศรัทธาในหน้าที่
คอยพิเคราะห์เหมาะควรมวลคดี
โดยไม่มีเงื่อนงำเล่ห์อำพราง
ขอบอำนาจกำหนดตามกฎหมาย
หากกล้ำกรายเลยเถิดเกิดบาดหมาง
ตามครรลองต้องเน้นความเป็นกลาง
ไม่เข้าข้างคนผิดแสร้งบิดเบือน
หิริโอตตัปปะอย่าละเว้น
ถือหลักเกณฑ์กติกาอย่าคลาดเคลื่อน
มีหน้าที่ดูแลห้ามแชเชือน
ห้ามเลอะเลือนเหลวแหลกแหกหลักการ
เมื่อคำว่าบริสุทธิ์เป็นจุดเริ่ม
ย่อมสร้างเสริมยุติธรรม์บรรทัดฐาน
ปราศจากอคติครอบพิชาน
ช่วยบันดาลสังคมให้ร่มเย็น
ขอเพียงแค่คนดีมีอำนาจ
ก็สามารถสร้างสุขสร่างทุกข์เข็ญ
ปล่อยคนชั่วครอบงำคงลำเค็ญ
บังเกิดเป็นกลียุคภัยคุกคาม
เพราะอำนาจอาจใช้ในทางผิด
ทุจริตรุมถิ่นแผ่นดินสยาม
ถืออำนาจบาตรใหญ่ด้วยใจทราม
จนลุกลามเดือดร้อนอย่านอนใจ
ทั้งสังคมสมควรมีส่วนร่วม
ช่วยส่วนรวมเหลียวแลคอยแก้ไข
เสมือนมีตาวิเศษทั่วเขตไทย
ความจัญไรถอนรากยากงอกเงย
เฉกมีสงฆ์ประพฤติทรามลามเสื่อมศาสน์
ฆราวาสล่วงรู้ไม่อยู่เฉย
แต่กับภัยใกล้ตัวมัวละเลย
รอทุกข์เกยกลบหน้าช้าเกินการณ์
ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดช่วยสอดส่อง
ทุกคนต้องเป็นภาระร่วมประสาน
เอาความชั่วมากระชากลากประจาน
ทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองได้เฟื่องฟู
ลองเริ่มต้นตนเองเคร่งครัดเถิด
เลิกละเมิดกฎหมายอายอดสู
เลือกเดินตามความถูกต้องลองทำดู
เริ่มจากผู้เป็นผู้ใหญ่ในแผ่นดิน
(๖)
เมียทหารอาภัพทนนับขวด
เมียตำรวจนับแบ๊งค์แหล่งทรัพย์สิน
อัยการกร่อนกลายเป็นอัยกิน
คำหยามหมิ่นย่อมมีเหตุที่มา
สังคมคนปนปะคละดีชั่ว
นั่นแหละตัวต้นตอก่อปัญหา
เอาคนชั่วอุ้มชูอยู่ตำตา
ฉะนั้นปลาร่วมข้องต้องราคี
คำจ้วงจาบฉาบฉวยช่วยคนผิด
ลองยั้งคิดย้อนครวญถ้วนวิถี
อย่าเหมาหมายทนายความทรามสิ้นดี
เพียงแต่ที่สุนัขถ่ายฝอยรายเรียง
คำเรียกขานศาลอำเภอใช่เผลอพล่อย
ตุลาการกล่าวถ้อยละห้อยเสียง
ต้องให้ความยุติธรรมกลับลำเอียง
หลบหลักเลี่ยงสีข้างถูนอกลู่ทาง
เรื่องเลวร้ายเหล่านี้มีให้เห็น
ใครเล่าเป็นธุระคอยสะสาง
ล้วนแชเชือนเฉไฉไปพลางพลาง
ดีแต่สร้างภาพหรูหลอกผู้คน
(๗)
กลียุคทุกข์ท้นทนกลืนกล้ำ
กลชอบธรรมนำเลศเหตุสู่ผล
ผลสู่เหตุเลศนำทำชอบกล
กล้ำกลืนทนท้นทุกข์ยุคกลี
ใต้ระบอบระเบียบวางสร้างระบบ
ต้องเคารพกติการู้หน้าที่
แต่ตัวบทกฎหมายมากมายมี
ตรงจุดนี้บาปเคราะห์เข้าเกาะกุม
ทุกหนแห่งแฝงเงาเหล่าจิ้งจอก
คอยกลับกลอกกลบคำทำตีขลุม
ฉกประโยชน์ยื้อแย่งเหมือนแร้งรุม
มารมั่วสุมสร้างปัญหาน่าหวั่นเกรง
กลไกความยุติธรรมควรนำสุข
กลับสร้างทุกข์ทับถมคอยข่มเหง
ปล่อยให้สุจริตชนพึ่งตนเอง
จนคว้างเคว้งหวาดผวาระอาภัย
ถูกเอารัดเอาเปรียบถูกเหยียบย่ำ
ชะตากรรมวิปริตผิดวิสัย
แทบทุกทางทุกที่มีเลศนัย
ความบรรลัยล่วงล้ำรุมย่ำยี
ดำเป็นขาวขาวเป็นดำทำกลบเกลื่อน
ล้วนบิดเบือนกลับกลายระบายสี
สร้างหลักฐานพยานเท็จเบ็ดเสร็จมี
ผลคดีสั่งได้ดังใจปอง
อำนาจสั่งเงินซื้อหรือพวกขอ
เรื่องราวก็เรียบร้อยคล้อยสนอง
ความชั่วช้าช่วงโชติโลดลำพอง
ความถูกต้องตกต่ำเห็นตำตา
กระบวนการยุติธรรมหลักค้ำสิทธิ์
ทุจริตรายรุมสุมปัญหา
กวาดฝุ่นไว้ใต้พรมหมักหมมมา
ถึงเวลาปฏิวัติกำจัดพาล
มีเรื่องราวเลวร้ายอยู่หลายหลาก
ซ่อนหลังฉากลวงตาน่าเลื่อมใส
บนเส้นทางยุติธรรมงำเลศนัย
แฝงพิษภัยสารพัดของสัตว์คน
เมื่อกระบวนพิจารณาอันน่าเบื่อ
ถูกใช้เพื่อปรุงแต่งแปลงเหตุผล
พร้อมพร้อมกับนักกฎหมายร้ายเล่ห์กล
ได้ขายตนอย่างอุบาทว์เป็นทาสเงิน
ใช้กฎหมายกลายบทมุ่งกดขี่
สร้างอัปรีย์จนเปรอะไม่เคอะเขิน
จนกฎหมายหลายฉบับฉีกยับเยิน
หลังถูกเมินคุณค่าถูกท้าทาย
บริสุทธิ์ยุติธรรมถูกย่ำเหยียบ
แบบระเบียบบิดเบือนเลือนจุดหมาย
ฉุดความหวังสังคมล้มละลาย
ขื่อแปกลายย้อนกลับทับผู้คน
กูนี่แหละกำลังจะฉีกกระชาก
ถอดหน้ากากกำมะลอพวกฉ้อฉล
ให้แจ่มแจ้งประจักษ์ตามหาชน
ให้ตื่นตนต่อสู้กู้สิทธิ์คืน
หนึ่งชีวิตหนึ่งฝันบัณฑิตหนึ่ง
ได้รู้ซึ้งรู้สึกสะอึกสะอื้น
กี่คนยากถูกย่ำทุกข์กล้ำกลืน
กี่ขมขื่นคนดีถูกบีฑา
มันเกินที่ทนดูแล้วอยู่นิ่ง
ให้เห็นจริงจะแจ้งแจงปัญหา
ถึงคราวต้องดีเดือดเลือดเข้าตา
เอาชีวาทดแทนคุณแผ่นดิน
(๒)
ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้บันทึก
ความรู้สึกอดสูมิรู้สิ้น
ครั้งพระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดิน
ต่างด้าวหมิ่นอธิปไตยของไทยเรา
ว่าศาลไทยไร้หลักจักเชื่อถือ
ต้องเอื้อมมือมาคุ้มครองคนของเขา
แค่สายเลือดชาวฝรั่งยังทำเนา
แต่เล่นเหมาทุกชาติเชื้อเหลือวุ่นวาย
ขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
โดยอ้างเหตุบกพร่องของกฎหมาย
ว่าเปิดทางอยุติธรรมมากล้ำกราย
คือฝันร้ายยุคล่าอาณานิคม
ด้วยเดชะพระปรีชามหาราช
ทรงนำชาติพัฒนาสง่าสม
ตรากฎหมายเมืองสยามตามนิยม
คลี่คลายปมปัญหาอย่างถาวร
กระบวนการยุติธรรมสำคัญไฉน
ความเป็นไปที่ผ่านมาอุทาหรณ์
เฉกหลักค้ำสำคัญหากสั่นคลอน
จะเดือดร้อนกลีรุมราวสุมไฟ
เหลิงอำนาจอาจนำขาดสำนึก
ถลำลึกลงเหวความเหลวไหล
ละหลักการกฎเกณฑ์ควรเป็นไป
อำเภอใจทุจริตก่อพิษพาล
บริสุทธิ์ยุติธรรมนำทางชอบ
คือระบอบบำบัดทุกข์สร้างสุขศานต์
ยิ่งโลกาภิวัตน์ชัชวาล
ขื่อแปบ้านยิ่งสำคัญต้องมั่นคง
เพื่อชาติไทยเทียมหน้าอารยชาติ
ประวัติศาสตร์ย้ำเตือนอย่าเลือนหลง
ต้องเอาความชอบธรรมนำจำนง
ต้องยืนยงยุติธรรมค้ำสิทธิ์ชน
(๓)
จากจารีตนครบาลกาลกระโน้น
ค่อยอ่อนโอนเนื่องนำอำนวยผล
กฎหมายไทยพัฒนาเป็นสากล
อนุสนธิ์งานทรงองค์รพี
ตั้งพระทัยแน่วแน่แก้ปัญหา
พระปรีชาเชิงปราชญ์วาดวิถี
หนึ่งคือการกำหนดกฎหมายดี
สองต้องมีตุลาการพิจารผจง
เพราะแม้กฎตีกรอบดีชอบแล้ว
คนแหวกแนวแชเชือนเลอะเลือนหลง
ก็วุ่นวายเวียนวกเข้ารกพง
ลาญจำนงจนวินาศอนาถใจ
นอกจากทรงอุตสาหะชำระบท
ยังกำหนดแนวแบบยลแยบให้
สร้างวิถียุติธรรมอันอำไพ
มุ่งพระทัยพัฒนาตุลาการ
โดยพระทรงดำรงตนเป็นต้นแบบ
การุณย์แทบพระบาทไท้แผ่ไพศาล
พระดำรัสสูงส่งทรงประทาน
ก้องกังวานอยู่ในหัวใจคน
“ เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก
แต่อย่าออกนอกทางไปให้เสียผล
จงอย่ากินสินบาทคาดสินบน
เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ ” เพิ่มบุญ เปลี่ยนภู่ ผู้แต่ง
พระบิดาแห่งกฎหมายไทยชูเชิด
พระเกียรติเทิดสถิตฟ้าทั่วหล้าขาน
ยิ่งสืบผลแห่งพระปณิธาน
เป็นรากฐานยุติธรรมค้ำแดนไทย
รอยพระบาทยาตรนำธำรงค่า
ยั่งยืนกว่ากัปกัลป์บันดาลไสว
พระดำรัสคติธรรมจำขึ้นใจ
เป็นผู้ให้ สมถะ สละตน
นักกฎหมายส่วนหนึ่งคำนึงแน่ว
ยึดเป็นแนวปณิธานสืบสานผล
รพีพัฒนศักดิ์สลักกมล
คอยช่วยดลยุติธรรมชี้นำทาง
(๔)
จากบันทึกบนบรรทัดประวัติศาสตร์
เราสามารถย้อนมองเห็นช่องว่าง
ความเปลี่ยนแปรเป็นไปไร้กรอบวาง
จึงระหว่างวิวัฒน์วิบัติเบียน
โดยพื้นฐานคนไทยไม่ยึดหลัก
แต่ชอบจักคอยตะแบงดัดแปลงเปลี่ยน
กี่แผนบทกำหนดแน่วแนวจำเนียร
ผลผิดเพี้ยนเพราะผู้นอกลู่ทาง
ต้องมีคนกวดขันหมั่นกำกับ
คอยบังคับบัญชาอย่าเว้นว่าง
หากโอนอ่อนผ่อนปรนผลอับปาง
อย่าเหินห่างเผลอให้อยู่ไกลตา
เพราะทำได้ตามใจคือไทยแท้
คำเก่าแก่ที่นับวันสร้างปัญหา
คนในชาติขาดวินัยแต่ไรมา
จนลูบหน้าปะจมูกไม่ถูกควร
บ้างไม่ยอมหยิกเล็บกลัวเจ็บเนื้อ
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าพาผันผวน
แถมผักชีโรยหน้ามาเป็นพรวน
ลืมทบทวนผิดถูกปลูกฝังกัน
ยลเยี่ยงศรีธนญชัยใช้ประพฤติ
กลับหลงยึดเอาอย่างไม่สร้างสรรค์
บางคนเปลี่ยนจุดหมายเป็นรายวัน
เห่อแฟชั่นตามกระแสปรวนแปรนัก
หลังวัตถุนิยมผูกปมเงื่อน
ยิ่งบิดเบือนสังคมจนจมปลัก
ศีลธรรมรำไรไร้รูปลักษณ์
ก็ถูกผลักเสือกไสจากใจคน
ค่าของคนคำนวณนับจากทรัพย์สิน
ย่อมสูญสิ้นอุดมการณ์พาลสับสน
จึงพลิกผันบางผู้วิญญูชน
เลือกลดตนใฝ่ต่ำยอมทำเลว
ถึงยุคที่ศรัทธาบนบ่าแบก
กลายเป็นแอกหนักอึ้งดึงลงเหว
ฝันเหมือนไฟสิ้นเชื้อไม่เหลือเปลว
ความล้มเหลวหลากล้นท่วมคนดี
ความคดโกงโยงใยแผ่ไปทั่ว
คนโฉดชั่วเชิดหน้าอวดราศี
สร้างระบบอุปถัมภ์ค้ำอัปรีย์
เป็นผู้มีอภิสิทธิ์อิทธิพล
เจ็ดสิบปีเป็นไปใต้วิกฤต
โดยลืมคิดสังเกตตรองเหตุผล
แย่งอำนาจอธิปไตยให้ปวงชน
แต่กี่คนผูกขาดอำนาจครอง
กลายเป็นว่ายถากรรมนำทางชาติ
ประชาราษฎร์ยากไร้อกไหม้หมอง
กี่คนเคยเสวยสวรรค์อันเรืองรอง
กี่คนต้องทุกข์อนาถแทบขาดใจ
กี่เลือกตั้งปฏิวัติรัฐประหาร
ยิ่งดักดานย่ำแย่ยากแก้ไข
แค่อำนาจหมุนเวียนเปลี่ยนมือไป
เพื่อถูกใช้สร้างโอกาสโกงชาติกิน
บนเส้นทางพัฒนาน่าสมเพช
นำประเทศทุกข์ทวีเพิ่มหนี้สิน
ความฟุ้งเฟ้อฝังตัวทั่วแผ่นดิน
คนเสื่อมสิ้นศีลธรรมประจำใจ
ปัญหาหนักหมักหมมสังคมทรุด
ต้องรีบหยุดวิกฤตคิดแก้ไข
คนดีต้องรวมตัวอย่ากลัวภัย
กอบกู้ไทยสู่วิถีที่ถูกควร
(๕)
กับการมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์
ย่อมมีหลักยึดมั่นยากผันผวน
แค่ตีความตามคำตรงสำนวน
อย่าแปรปรวนเบนเบี่ยงเลี่ยงบาลี
ยืนหยัดอย่างยืดหยุ่นดุลพินิจ
สุจริตศรัทธาในหน้าที่
คอยพิเคราะห์เหมาะควรมวลคดี
โดยไม่มีเงื่อนงำเล่ห์อำพราง
ขอบอำนาจกำหนดตามกฎหมาย
หากกล้ำกรายเลยเถิดเกิดบาดหมาง
ตามครรลองต้องเน้นความเป็นกลาง
ไม่เข้าข้างคนผิดแสร้งบิดเบือน
หิริโอตตัปปะอย่าละเว้น
ถือหลักเกณฑ์กติกาอย่าคลาดเคลื่อน
มีหน้าที่ดูแลห้ามแชเชือน
ห้ามเลอะเลือนเหลวแหลกแหกหลักการ
เมื่อคำว่าบริสุทธิ์เป็นจุดเริ่ม
ย่อมสร้างเสริมยุติธรรม์บรรทัดฐาน
ปราศจากอคติครอบพิชาน
ช่วยบันดาลสังคมให้ร่มเย็น
ขอเพียงแค่คนดีมีอำนาจ
ก็สามารถสร้างสุขสร่างทุกข์เข็ญ
ปล่อยคนชั่วครอบงำคงลำเค็ญ
บังเกิดเป็นกลียุคภัยคุกคาม
เพราะอำนาจอาจใช้ในทางผิด
ทุจริตรุมถิ่นแผ่นดินสยาม
ถืออำนาจบาตรใหญ่ด้วยใจทราม
จนลุกลามเดือดร้อนอย่านอนใจ
ทั้งสังคมสมควรมีส่วนร่วม
ช่วยส่วนรวมเหลียวแลคอยแก้ไข
เสมือนมีตาวิเศษทั่วเขตไทย
ความจัญไรถอนรากยากงอกเงย
เฉกมีสงฆ์ประพฤติทรามลามเสื่อมศาสน์
ฆราวาสล่วงรู้ไม่อยู่เฉย
แต่กับภัยใกล้ตัวมัวละเลย
รอทุกข์เกยกลบหน้าช้าเกินการณ์
ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดช่วยสอดส่อง
ทุกคนต้องเป็นภาระร่วมประสาน
เอาความชั่วมากระชากลากประจาน
ทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองได้เฟื่องฟู
ลองเริ่มต้นตนเองเคร่งครัดเถิด
เลิกละเมิดกฎหมายอายอดสู
เลือกเดินตามความถูกต้องลองทำดู
เริ่มจากผู้เป็นผู้ใหญ่ในแผ่นดิน
(๖)
เมียทหารอาภัพทนนับขวด
เมียตำรวจนับแบ๊งค์แหล่งทรัพย์สิน
อัยการกร่อนกลายเป็นอัยกิน
คำหยามหมิ่นย่อมมีเหตุที่มา
สังคมคนปนปะคละดีชั่ว
นั่นแหละตัวต้นตอก่อปัญหา
เอาคนชั่วอุ้มชูอยู่ตำตา
ฉะนั้นปลาร่วมข้องต้องราคี
คำจ้วงจาบฉาบฉวยช่วยคนผิด
ลองยั้งคิดย้อนครวญถ้วนวิถี
อย่าเหมาหมายทนายความทรามสิ้นดี
เพียงแต่ที่สุนัขถ่ายฝอยรายเรียง
คำเรียกขานศาลอำเภอใช่เผลอพล่อย
ตุลาการกล่าวถ้อยละห้อยเสียง
ต้องให้ความยุติธรรมกลับลำเอียง
หลบหลักเลี่ยงสีข้างถูนอกลู่ทาง
เรื่องเลวร้ายเหล่านี้มีให้เห็น
ใครเล่าเป็นธุระคอยสะสาง
ล้วนแชเชือนเฉไฉไปพลางพลาง
ดีแต่สร้างภาพหรูหลอกผู้คน
(๗)
กลียุคทุกข์ท้นทนกลืนกล้ำ
กลชอบธรรมนำเลศเหตุสู่ผล
ผลสู่เหตุเลศนำทำชอบกล
กล้ำกลืนทนท้นทุกข์ยุคกลี
ใต้ระบอบระเบียบวางสร้างระบบ
ต้องเคารพกติการู้หน้าที่
แต่ตัวบทกฎหมายมากมายมี
ตรงจุดนี้บาปเคราะห์เข้าเกาะกุม
ทุกหนแห่งแฝงเงาเหล่าจิ้งจอก
คอยกลับกลอกกลบคำทำตีขลุม
ฉกประโยชน์ยื้อแย่งเหมือนแร้งรุม
มารมั่วสุมสร้างปัญหาน่าหวั่นเกรง
กลไกความยุติธรรมควรนำสุข
กลับสร้างทุกข์ทับถมคอยข่มเหง
ปล่อยให้สุจริตชนพึ่งตนเอง
จนคว้างเคว้งหวาดผวาระอาภัย
ถูกเอารัดเอาเปรียบถูกเหยียบย่ำ
ชะตากรรมวิปริตผิดวิสัย
แทบทุกทางทุกที่มีเลศนัย
ความบรรลัยล่วงล้ำรุมย่ำยี
ดำเป็นขาวขาวเป็นดำทำกลบเกลื่อน
ล้วนบิดเบือนกลับกลายระบายสี
สร้างหลักฐานพยานเท็จเบ็ดเสร็จมี
ผลคดีสั่งได้ดังใจปอง
อำนาจสั่งเงินซื้อหรือพวกขอ
เรื่องราวก็เรียบร้อยคล้อยสนอง
ความชั่วช้าช่วงโชติโลดลำพอง
ความถูกต้องตกต่ำเห็นตำตา
กระบวนการยุติธรรมหลักค้ำสิทธิ์
ทุจริตรายรุมสุมปัญหา
กวาดฝุ่นไว้ใต้พรมหมักหมมมา
ถึงเวลาปฏิวัติกำจัดพาล